ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบํารุงบ้านเมืองและราษฎรไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดังจะเห็นได้จากการสร้างกลไกและองค์กรใหม่ๆ ขึ้นมารับผิดชอบภารกิจสมัยใหม่ของรัฐที่ไม่เคยมีมากก่อน เช่น การสาธารณสุข, การประปา, การรถไฟ, การ สุขาภิบาล, การราชทัณฑ์ และการศึกษา
รวมถึง “โรงเรียนดัดสันดาน” สำหรับควบคุมดูแล เด็กที่ทำผิดอาญาบ้านเมือง
เรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนดัดสันดานนี้ศรัญญู เทพสงเคราะห์ เขียนไว้ในบทความหนึ่งในหนังสือ “ราษฎธิปไตยฯ” (สนพ.มติชน มิถุยายน 2562 ) ซึ่งขอคัดย่อบางส่วนมานำเสนอดังนี้
เพื่อแก้ปัญหาเด็กในสังคมเมืองพระนคร ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของสังคมเมือง ที่ทําให้เกิดสถานบันเทิงและแหล่งเริงรมย์ในพื้นที่สาธารณะ อาทิ โรงบ่อน, โรงมหรสพ และโรงหญิงนครโสเภณี ซึ่งสถานที่เหล่านี้ได้เป็นที่พักพิงของเด็กเกเรและเด็กเร่ร่อนผู้ถูกเรียกว่า “เด็กกลางถนน” และ “เด็กหน้าโรงบ่อน” ที่สร้างความวุ่นวายในสังคมเมือง รวมถึงมีแนวโน้ม คอนโจรผู้ร้ายในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ทางกระทรวงนครบาลจึงตั้ง “โรงเรียนดัดสันดาน” ขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2450 เพื่อสถาบันควบคุมและดัดสันดานเด็กกลุ่มดังกล่าว และเป็นการแบ่งแยกการลงโทษผู้กระทําผิดระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ตามกฎหมายสมัยใหม่ในเวลานั้น
เนื่องจากแนวคิดที่ว่าหากสิ่งเด็กไปลงโทษคุมขังกับนักโทษผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะชักพาให้เด็กประพฤติชั่วมากขึ้น โดยใน พ.ศ. 2450 เมื่อประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ได้กําหนดให้ผู้กระทําผิดที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องถูกส่งตัวไปควบคุมที่โรงเรียนดัดสันดาน ตามคําสั่งศาล ดังนั้นโรงเรียนดัดสันดานจึงไม่ได้ควบคุมเฉพาะเด็กกลางถนนและเด็กหน้าโรงบ่อนในพระนครเท่านั้น แต่รวมไปถึงเด็กที่กระทําผิดทางอาญาทั้งในพระนครและหัวเมือง
ระยะแรกนั้นโรงเรียนดัดสันดานขึ้นกับกองตระเวน กระทรวงนครบาล โดยกองตระเวนจัดสรรงบประมาณมาเป็นค่าใช้สอยสําหรับโรงเรียนดัดสันดาน ทั้งค่าเบี้ยเลี้ยงเด็กดัดสันดาน ค่าพาหนะรับส่ง ค่าเครื่องนุ่งห่มและที่นอน และเลือกพื้นที่อดีตพระราชวังฤดูร้อน ของรัชกาลที่ 5 บนเกาะสีชัง มาดัดแปลงเป็นโรงเรียนดัดสันดาน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและเอื้อต่อการควบคุมเด็ก เนื่องจากสภาพที่ตั้งเป็นเกาะกลางทะเลยากต่อการหลบหนี
เมื่อพิจารณาระบบของโรงเรียนดัดสันดานพบว่า โรงเรียนดัดสันดานให้ความสําคัญกับการควบคุมมากกว่าการอบรมสั่ง สอนเด็กที่กระทําผิดให้กลายเป็นคนดี ดังสะท้อนจากพระดำริ ของกรมหลวงดํารงราชานุภาพเกี่ยวกับโรงเรียนดัดสันดานว่ามีลักษณะ “เป็นคุกครึ่งหนึ่งเป็นโรงเรียนครึ่งหนึ่ง” ที่จะต้องบังคับเด็กไว้อยู่ในโรงเรียนตลอดเวลาที่กําหนด แต่ในการดําเนินงานของโรงเรียนดัดสันดานกลับเน้นลักษณะคุกมากกว่าโรงเรียน โดยอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงนครบาลมิใช่กระทรวงธรรมการ มีนายสิบพลตำรวจเป็รผู้ควบคุมเด็ก ส่วนครูผู้สอนคือ นักโทษที่มีทักษะด้านการสอนหนังสือ งานช่างไม้และการจักสาน โดยระยะแรก “ครูนักโทษ” หลายคนประพฤติตัวไม่ดี ระหว่างทำงานที่โณงเรียนดัดสันดาน เนื่องจากเป็นนักโทษในข้อหาฆ่าคนตาย ปล้นฆ่าและทำร้ายร่างกาย
ปัญหาดังกล่าวทำให้กระทรวงนครบาลและกระทรวงธรรมการร่วมกันพิจารณษระเบีบการศึกษาสำหรับโรงเรียนดัดสันดาน พ.ศ. 2459 เช่น ควรจัดให้เด็กได้เรียนหลักสูตรสามัญศึกษาและวิชาชีพ, กวดขันความประพฤติ, การแยกเด็กที่มีโทษหนักเบาออกจากัน แต่การแก้ปัยหาดังกล่าวก็ติดขัดเพราขาดงบประมาณ สุดท้ายจึงแก้ปํยหาได้เพียงการเปลี่ยนครูจาก “นักโทษ” มาเป็น “ตำรวจ” แทน ซึ่งก็ยังเป็นการเน้นการควบคุมเป็นสำคัญ
ในเวลานั้นโรงเรียนดัดสันดานสามารถรองรับได้เด็กได้เพียง 50 คน หากมีเด็กเกินกว่าที่กำหนด โรงเรียนก็จะขอให้ชะลอการส่งตัวไว้ก่อน ทำให้ต้องขังเด็ก(ที่ต้องคำพิพากษาเหล่านั้น)ไว้ที่เรือนจำ หรือมอบหมายให้ไปอยู่ในปกครองของใคร นอกจากนี้โรงรียนดัดสันดานที่เกาะสีชังยังรับเฉพาะเด็กผู้ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงที่ถูกพิพากษาแก้ปัญหาด้วยการส่งตัวไปภูมิลำนาเดิมให้เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ไปปกครองและดัดสันดาน
หลังการปฏิวัติ 2475 รัฐบาลคณะราฎรได้รับปรุงงานราชทัณฑ์ ให้อบรมและฝึกฝนนักโทษเป็นพลเมืองดีตามหลักวิชาการก่อนส่งกลับสู่สังคม ส่วนของโรงเรียนดัดสันดานนั้น ในปี 2476 หลวงบรรณสารประสิทธิ์ รักษาราชการในจำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เสนอว่าโรงเรียนควรมีลักษณะเป็น โรงเรียดงดัดสันดาน (Reform School) ผสมกับโรงเรียนใกวิชาชีพ (Industrial School) ที่อบรมปรับเปลี่ยนนิสันและฝึกอาชีพ เพื่อให้เด็กเป็นแรงงานทางเศรษฐกิจในอนาคต แลพะมองหาสถานที่ตั้งโรงเรียนดัดสันดานที่มีพื้นที่มากพอสำหรับงานเกษตร, ใกล้ชุมชน และง่ายต่อการควบคุม โดยพื้นที่พิจารณาคือ บริเวณเกาะเมืองกรุงเก่า
โครงการโรงเรียนดัดสันดานของหลวงบรรณสารประสิทธิ์นั้น กระทรวงมหาดไทยได้ตั้งกรรมการขึ้นพิจารณามี หม่อมเจ้าสกลรรณากร วรวรรณ (ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย) เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการประกอบด้วย พระยาอนุสสรธุระการ (ผู้แทนอธิบดีกรมตำรวจ), พระยาสุริยานุวงศ์ประวัติ (ผู้รั้งตําแหน่งอธิบดีกรมมหาดไทย), นายพลเรือตรี พระยาปรีชาชลยุทธ (ผู้ช่วยราชการกระทรวงมหาดไทย) และหลวงบรรณสารประสิทธิ์ (ผู้รักษาราชการในตําแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์)
เมื่อที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบโครงการฯ และเห็นควรให้กรมราชทัณฑ์ตั้งงบประมาณสําหรับโรงเรียนด้านต่างหาก เพื่อใช้เป็นเงินค่า เบี้ยเลี้ยงเด็ก เงินเดือนเจ้าหน้าที่ และค่าใช้สอยต่างๆ เสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีใน (17 เมษายน 2477)
การปรับปรุงโรงเรียนดัดสันดานได้ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อรัฐบาลพระยาพหลฯ โอนงานโรงเรียนจากกรมตํารวจ มายังกรมราชทัณฑ์ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2478 (พ.ศ. 2479 ตามปฏิทินปัจจุบัน) และที่สําคัญคือการร่างกฎหมายเพื่อเป็นหลักปฏิบัติงานของโรงเรียน ได้แก่ พระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจําพวก พ.ศ. 2479
เดิมกฎหมายฉบับดังกล่าวมุ่งการควบคุมเด็กที่กระทําผิดอาญา ต่อมาได้เพิ่มการควบคุมเด็กเร่ร่อน เด็กอนาถา และเด็กนักเรียนที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อย เพื่อฝึกสอนอบรมศีลธรรม ความรู้ทั่วไป และวิชาชีพต่างๆ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนชื่อจาก “โรงเรียนดัดสันดาน” มาเป็น “โรงเรียนฝึกอาชีพ”
กิจกรรมของเด็กทุกคนในโรงเรียนฝึกอาชีพในแต่ละวันมีดังนี้ ช่วงเช้า (06.00-09.00น.) เริ่มจากฝึก กายบริหารการฝึกระเบียบตามแบบทหารและรับประทานอาหารเช้า ช่วงสาย (09.00-12.00 น.) เป็นการเรียนวิชาสามัญในชั้นเรียน และรับประทานอาหารกลางวัน ช่วงบ่าย (13.00-16.50 น.) มี การจัดอบรมวิชาชีพ (กสิกรรมและการช่าง) และการเล่นกีฬา ช่วงเย็นและค่ำ (17.00-21.00 น.) คือช่วงรับประทาน จบด้วยการประชุมอบรมด้านศีลธรรมจรรยาและการสวดมนต์ นอกจากนี้ระหว่างเวลา 16.00-17.00 ของทุกวัน เด็กยังต้องทําความสะอาดพื้นที่บ้านพักและบริเวณโรงเรียน และทุกวันเสาร์ จะต้องทํางานโยธาตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น.
นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2480 จากผลพวงของภาวะสงครามโลกส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการสถาบันราชทัณฑ์หลาย ขณะที่โรงเรียนฝึกอาชีพของกรมราชทัณฑ์ประสบปัญหาเด็กวินัยหย่อนยานเช่นกัน ดังสะท้อนจากสถิติเด็กหลบหนีที่สูงมาก โดยใน พ.ศ. 2488 มีเด็กหลบหนี 46 คน จากจํานวนเด็กทั้งหมด 150 คน และ พ.ศ. 2489 มีเด็กหลบหนี 27 คนจากจํานวนเด็กทั้งหมด 118 คน
ขณะเดียวกันจากการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสังคมสงเคราะห์ ในประเทศไทยช่วงปลายทศวรรษ 2490 ได้มีอิทธิพลต่อแนวคิด การปฏิบัติและอบรมแก้ไขความประพฤติของเด็กและเยาวชนที่ทำผิดกฎหมายของรัฐตามหลักสังคมสงเคราะห์ ที่เน้นการช่วยเหลือในระยะยาวจนกว่าผู้รับจะสามารถช่วยตนเองได้ ส่งผลให้กรมประชาสงเคราะห์กลายเป็นหน่วยงานหลัก ในการดูแลสวัสดิภาพเด็กและจัดบริการสงเคราะห์แก่เด็กกําพร้า อนาถาไร้ที่พึ่ง เด็กที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองยากจน เด็กที่มีปัญหาความประพฤติ ฯลฯ
อย่างไรก็ตามงานเกี่ยวกับเด็กของกรมประชาสงเคราะห์กลับทับซ้อนกับงานโรงเรียนฝึกอาชีพของกรมราชทัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ ใน พ.ศ. 2500 กระทรวงมหาดไทยจึงได้โอนโรงเรียนฝึกอาชีพ ไปสังกัดกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางแก้ไขความประพฤติของเด็ก และมีการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดการฝึกและอบรมเด็กบางจําพวก พ.ศ. 2479 เพื่อโอนโรงเรียนฝึกอาชีพไปอยู่กับกรมประชาสงเคราะห์
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 กรมราชทัณฑ์ได้ทําพิธีส่งมอบเด็กในโรงเรียนฝึกอาชีพ ไปอยู่ในเยาวสถานห้วยโป่ง จังหวัดระยอง อันเป็นสถานสงเคราะห์ เด็กและเยาวชนที่กระทําผิดกฎหมายหรือมีปัญหาความประพฤติใน ความดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ และถือเป็นจุดสิ้นสุดการดําเนินงานดัดสันดานเด็กของกรมราชทัณฑ์รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 22 ปี
ข้อมูลจาก
ศรัญญู เทพสงเคราะห์. ราษฎรธิปไตย: การเมือง อำนาจ และทรงจำของ (คณะ) ราษฎร. สำนักพิมพ์ มติชน, มิถุนายน 2562
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 8 สิงหาคม 2562
chaosuan สมัยนี้น่าจะมีที่ดัดสันดาน
คนคิดชั่วเห็นแก่ตัว
ทำบ้านเมืองถอยหลัง
พวกตัวเองกอบโกย
ชาวบ้านเดือดร้อน
08 ส.ค. 2562 เวลา 14.55 น.
ภูมิกิติ เนื้อหาดี มีประโยชน์ แต่ควรมีการพิสูจน์อักษรก่อนลงเคยแพร่
09 ส.ค. 2562 เวลา 01.34 น.
Nick Private Travel เลย 15 ปีกระทำผิดน่าจับไปอยู่คุกผู้ใหญ่นะ
08 ส.ค. 2562 เวลา 18.14 น.
ดูทั้งหมด