กีฬา

เปิดไทม์ไลน์! อาชีพค้าแข้ง ร็อบเบน เป็นไงบ้างก่อนหวนกลับ โกรนิงเก้น

ขอบสนาม
อัพเดต 15 ก.พ. 2561 เวลา 03.21 น. • เผยแพร่ 30 มิ.ย. 2563 เวลา 09.34 น. • ขอบสนาม

หากพูดถึงปีกขวาที่มีความเร็วจัด เลี้ยงตัดเข้ากลาง ลากบอลติดตีน ก่อนจะยิงด้วยเท้าซ้ายบอลย้ายไปเสียบเสาเข้าประตู ชื่อของ อาร์เยน ร็อบเบน ตำนานปีกทีมชาติฮอลแลนด์ ต้องลอยขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ แน่นอน

ล่าสุดพี่แกที่แขวนสตั๊ดไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว อยู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจเพราะคันตีนเสี้ยนกลิ่นลูกหนังจนแทบคลั่ง ขอหิ้วสตั๊ดกลับมาค้าแข้งอีกสักคำรบกับ โกรนิงเก้น ทีมในลีกบ้านเกิดและเป็นสโมสรแรกในชีวิตการค้าแข้งของ "ปีกหัวไข่" ซะด้วย ฉะนั้นวันนี้ ขอบสนาม จึงขอมาไล่เรียงไทม์ไลน์ชีวิตของชายคนนี้ให้ดูหน่อยดีกว่าว่า ตลอด 20 ปีในอาชีพค้าแข้ง พี่แกผ่านอะไรมาบ้าง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

 

เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งในบ้านเกิด

อาร์เยน ร็อบเบน ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1984 เขาชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจตั้งแต่เด็ก ซึ่งครอบครัวเขาก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ร็อบเบน ถูกดึงตัวเข้าทีมเยาวชนของ วีวี บีดัม ทีมเล็กๆ ในบ้านเกิด ตั้งแต่ 5 ขวบ จากนั้น 12 ขวบก็ถูก โกรนิงเก้น คว้าตัวไป และที่นี่เองที่เขาฉายแววเก่งเกินเด็ก และถูกมอบสัญญานักเตะอาชีพให้เซ็นเป็นที่แรก

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ปี 2000 ขณะอายุได้แค่ 16 ขวบ ร็อบเบน ก็ถูกเข็นลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ โกรนิงเก้น แล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างดีเยี่ยมเกินวัย จนได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเจ้าตัวสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงเล่น ฟอร์มดีแบบนี้ก็ยากที่ โกรยิงเก้น จะรั้งตัวไว้ได้ เพราะขึ้นชุดใหญ่ได้แค่ 2 ปี พีเอสวี ก็ควัก 4 ล้านยูโร สู่ขอ ร็อบเบน มาร่วมทีม ซึ่งถือว่าแพงทีเดียวในยุคนั้นกับเด็กวัยแค่ 18 ขวบ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองอะไรมากมาย

แต่ ร็อบเบน ก็ไม่ทำให้แฟนๆ พีเอสวี ผิดหวัง เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมในทันที แถมผนึกกำลังกับกองหน้าอย่าง มาเตย่า เคซมัน ได้อย่างไร้ที่ติ จนได้รับฉายาว่าเป็นคู่หู "แบทแมน แอนด์ ร็อบเบน" ฤดูกาลแรกกับ พีเอสวี เขาลงเล่นไป 41 นัด ซัด 13 ประตู แอสซิสต์อีกบานตะไท ช่วยให้ พีเอสวี คว้าแชมป์ลีกฮอลแลนด์ สมัยที่ 17 มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสรร่วมกับ มาเตย่า เคซมัน คู่หูของเขาด้วย 

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เชลซี ปาดหน้า แมนฯ ยู กระชากตัวไป

แม้จะเล่นอยู่ในลีกฮอลแลนด์ แต่ฟอร์มการเล่นและผลงานของ ร็อบเบน ก็โดดเด่นจนไปเตะตาหลายทีมยักษ์ใหญ่ใน 5 ลีกดังยุโรป ที่รุมทึ้งกันแย่งตัว แต่เต็ง 1 ตอนนั้นที่เหมือนจะนอนมาคือ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะถึงขนาดนัดกินข้าวกับ ป๋าเฟอร์กี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และเดินทัวร์ดูสนามซ้อมอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เซ็นสัญญากับชูเสื้อเท่านั้น แต่อยู่ๆ เชลซี ที่เพิ่งได้ "เสี่ยหมี" โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ มาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ พี่แกก็ทุ่มเงิน 18 ล้านยูโร ปาดหน้า "ปีศาจแดง" คว้าตัวไปร่วมทีมซะงั้น

ซึ่งแม้จะย้ายแบบก้าวกระโดดจากลีกฮอลแลดน์ มาสู่ลีกเบอร์ 1 ของโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก แต่ ร็อบเบน ในวัยเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ก็หาได้กลัวไม่ โชว์ลีลาสะเด็ดสะเด่ากระชากลากเลื้อยเล่นเอากองหลังเทพๆ ใน พรีเมียร์ลีก เสียหมาไปหลายต่อหลายคน ทว่าสิ่งที่ตามมาจากการใช้ร่างกายลากเลื้อย โดนเตะโดนสอยร่วง นั่นคืออาการบาดเจ็บ ร็อบเบน กลายเป็นนักเตะที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง แม้ทุกครั้งพอหายเจ็บกลับมาฟอร์มการเล่นของแกจะยังดีเหมือนเดิม แต่การไม่ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ขาดความสม่ำเสมอ และขาดความรู้ใจกับเพื่อนร่วมทีม

อย่างไรก็ตามแม้จะเจ็บบ่อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ร็อบเบน ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้ 2 สมัย ตลอด 3 ฤดูกาลที่เขาค้าแข้งกับทัพ "สิงห์บลูส์" แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ เชลซี ในเวลานั้นเป็นคนที่ไม่ชอบนักเตะกระดูกยุง 3 วันดี 4 วันเจ็บ ประกอบกับ เรอัล มาดริด ติดต่อทาบทามเข้ามาพอดี เชลซี จึงตัดสินใจขาย ร็อบเบน ไปให้กับ "ราชันชุดขาว" ด้วยค่าตัวราว 35 ล้านยูโร

 

ช่วงชีวิตที่ เรอัล มาดริด

ด้วยฝีเท้าที่เก่งกาจและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม้ว่าจะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยๆ แต่ ร็อบเบน ก็สถาปนาตัวเองเป็นตัวหลักของ เรอัล มาดริด ได้ในทันที ถ้าไม่เจ็บก็แทบจะการันตีตำแหน่งตัวจริง ซึ่งเขาก็มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายไปอยู่ด้วย แต่แล้วการกลับมานั่งแท่นประธานสโมสรอีกครั้งของ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่มาพร้อมกับ "เมกะโปรเจ็คท์" ที่มีชื่อว่า "กาลาติกอส" ก็ทำให้ ร็อบเบน ต้องหมดอนาคตกับ เรอัล มาดริด 

การย้ายเข้ามาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ริคาร์โด้ กาก้า และสตาร์ดังคนอื่นๆ อีกหลายคน ทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับ ร็อบเบน อีกต่อไป เรอัล มาดริด ปล่อย อดีตปีกทีมชาติฮอลแลนด์ ไปให้กับ บาเยิร์น มิวนิค แบบยอมขาดทุนด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร ซึ่งต่อมา ร็อบเบน ก็เปิดเผยว่าตัวเขานั้นไม่ได้อยากย้ายออกจาก มาดริด เลย แต่โดน เปรซ บังคับให้ย้าย

 

พีคสุดในชีวิตกับ บาเยิร์น มิวนิค

แม้ ร็อบเบน จะย้ายมาอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค แบบไม่เต็มใจนักในปี 2009 แต่ที่นี่เองที่ทำให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จอย่างมากมาย คว้าแชมป์มาประดับบารมีจนล้นตู้ หนำซ้ำยังทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงคำว่า "คนสำคัญของทีม" อย่างแท้จริงอีกด้วย ร็อบเบน ตกเป็นที่รักของแฟนบอล "เสือใต้" ตั้งแต่นัดประเดิมสนามหลังลงเล่นเป็นตัวสำรอง และกดคนเดียว 2 เม็ดช่วยให้ บาเยิร์น ถล่ม โวล์ฟสบวร์ก ไป 3-0 พูลสวัสดิ์ และเป็นกำลังสำคัญพา "เสือใต้" คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน ในฤดูกาลนั้นมาครอง

การย้ายมาเล่นที่ เยอรมัน ดูเหมือนว่าจะเป็นการดีกับสภาพร่างกายของ ร็อบเบน เพราะไม่ได้เข้าปะทะหนักหน่วงเหมือนใน พรีเมียร์ลีก หรือ ลา ลีกา สเปน บวกกับเจ้าตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่น แต่ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพ อะไรที่ล่อตีนเกินไปก็เลิกทำ อะไรที่เสี่ยงเกินไปก็คิดให้มากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ ร็อบเบน ได้รับบาดเจ็บน้อยลงจากเดิม (แต่ก็ยังแอบเยอะอยู่ดีหากเทียบกับนักบอลส่วนใหญ่ 555)

ประตูชัยของ ร็อบเบน ในนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในช่วงท้ายเกม ช่วยให้ "เสือใต้" เอาชนะ ดอร์ทมุนด์ ไป 2-1 ประตู คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้สำเร็จ พร้อมกับเป็น "ทริปเปิ้ล แชมป์" ในฤดูกาล 2012/13 คงจะเป็นหนึ่งในประตูที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำที่สุดในชีวิตของ ร็อบเบน นอกจากนี้การประสานงานกันรหว่างปีกซ้าย-ขาว ริเบรี่-ร็อบเบน ก็เป็นที่พูดถึงอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งคู่คือส่วนช่วยให้ บาเยิร์น มิวนิค ครองความยิ่งใหญ่ใน เยอรมัน มาตลอดในช่วงหลัง

10 ปีกับ บาเยิร์น มิวนิค ร็อบเบน กวาดถาดแชมป์ บุนเดสลีกา ไป 8 สมัย เดเอฟเบ โพคาล 5 สมัย ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีกอย่างละ 1 สมัย ขึ้นแท่นเป็นตำนานของทัพ "เสือใต้" ไปเป็นที่เรียบร้อย

 

ประกาศแขวนสตั๊ด

ฤดูกาล 2018/19 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ ร็อบเบน กับ บาเยิร์น เจ้าตัวในวัย 34 ปี มีอาการบาดเจ็บหนักเข้ามารบกวน ทำให้ได้ลงเล่นในลีกไปแค่ 12 เกม และกำลังจะหมดสัญญากับ บาเยิร์น ซึ่ง ร็อบเบน ก็ประกาศชัดเจนเองว่าเวลาของเขากับ "เสือใต้" นั้นได้หมดลงแล้ว โดยให้สัมภาษณ์ว่า"ผมพูดได้เลยว่านี่คือปีสุดท้ายของผมกับ บาเยิร์น มิวนิค ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่ผมจะลาทีมไปหลังจากอยู่ด้วยกันมา 10 ปีเต็ม สโมสรต้องก้าวเดินต่อไป ผมเองก็เช่นเดียวกัน มันเป็นจุดจบที่สวยงามหลังจากการเดินทางร่วมกันมาอย่างยาวนาน"

ซึ่งพอ ร็อบเบน ออกมาพูดแบบนี้ ก็มีหลายทีมติดต่อทาบทามต้องการความเก๋าของเขาไปช่วยประคับประคองทีม ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกมาพูดด้วยว่ากำลังพิจารณาอยู่ว่าจะไปเล่นต่อที่ไหนดี แต่แล้ว 4 กรกฏาคม 2019 สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเพราะจู่ๆ ร็อบเบน ก็ออกมาประกาศแขวนสตั๊ดซะงั้น โดยให้เหตุผลว่า"ผมตัดสินใจที่จะยุติเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพไว้ตรงนี้ มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากโคตรๆ ผมยังรักการลงเล่น แต่ผมก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า ผมไม่สามารถทำแบบเดิมได้อีกแล้ว แบบเดียวกับที่ผมเคยทำได้ตอนอายุ 16 ปี ฉะนั้นผมคิดว่ามันเป็นการดีกว่าที่จะหยุดตอนนี้"

 

ทนกลิ่นลูกหนังไม่ไหว มันคันตีน

28 สิงหาคม 2019 หรือเกือบ 2 เดือน หลังประกาศแขวนสตั๊ด ร็อบเบน ออกมาแย้มๆ กับสื่อว่าอาจจะกลับมาสวมสตั๊ดลงเล่นอีกครั้ง โดยกล่าวว่า “ไม่แน่นะอีก 1-2 เดือน ผมอาจรู้สึกคิดถึงฟุตบอลมากกว่านี้ แล้วผมอาจตัดสินใจกลับมาลงสนามอีกครั้งก็เป็นได้ แต่แน่นอนว่าการรีไทร์ไปนานเท่าไหร่มันก็ยิ่งยากขึ้นในการจะกลับมา ซึ่งเอาจริงๆ ผมไม่คิดว่าผมมีโอกาสมากเท่าไหร่หรอกนะ”

27 เมษายน 2020 หรือ 9 เดือนหลังแขวนสตั๊ด คราวนี้เริ่มไม่กั๊กแล้ว โดยบอกว่า “ช่วงแขวนสตั๊ดแรกๆ ผมไม่ได้คิดถึงฟุตบอลเท่าไหร่หรอก แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะมันก็เริ่มรู้สึกคันๆ เท้าอีกครั้ง และ ผมก็มีความคิดเกิดขึ้นว่า ‘เฮ้ บางที ผมน่าจะอยากกลับไปเล่นฟุตบอลอีกสักหน่อย’ นับตั้งแต่นั้นผมก็ยังมีความรู้สึกแบบนี้เต็มเปี่ยม”

27 มิถุนายน หรือ 11 เดือนหลังประกาศรีไทร์ อาร์เยน ร็อบเบน ในวัย 36 ปี ก็หยิบสตั๊ดกลับมาโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าอีกครั้ง หลังเซ็นสัญญา 1 ปี กับสโมสร โกรนิงเก้น ต้นสังกัดแรกในชีวิต ซึ่งเจ้าตัวได้ให้เหตุผลในการเปลี่ยนใจกลับลำในครั้งนี้ว่า "หัวใจผมมันเรียกร้องอยากกลับมาเล่นให้ โกรนิงเก้น อีกครั้ง และมันก็เป็นการท้าทายสภาพร่างกายของผมด้วย แต่ผมก็พร้อมฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ผมจะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทำผลงานให้ดี"

และทั้งหมดนี้คือไทม์ไลน์ชีวิตค้าแข้งของ อาร์เยน ร็อบเบน ตำนานปีกหัวไข่ทีมชาติฮอลแลนด์ ที่กลับมาค้าแข้งอีกครั้งกับ โกรกนิงเก้น ในวัย 36 ปี ส่วนผลงานและฟอร์มการเล่นจะเป็นอย่างไร จะยังพริ้วไหวลากจากขวาตัดเข้าในไปยิงได้รึป่าว ต้องรอดูกัน

ชิน ชินพัฒน์

ดูข่าวต้นฉบับ

ดูบทความอื่นๆ จาก ขอบสนาม

พรีเมียร์ลีก อัพเดท โควิด-19 ! พบผู้ติดเชื้อ 1 ราย
ขอบสนาม
เปิดไทม์ไลน์! อาชีพค้าแข้ง ร็อบเบน เป็นไงบ้างก่อนหวนกลับ โกรนิงเก้น
ขอบสนาม
บิ๊กเป้เห็นด้วย!! อยากให้ “ไทยลีก” เตะจบในปีนี้เหมือนเดิม
ขอบสนาม
อังคารนี้มีบิ๊กแมตช์! เช็กโปรแกรมบอลได้ที่นี่
ขอบสนาม
เปิดบทสัมภาษณ์แรกของ 3 แข้งใหม่ยังเติร์ก กิเลนผยอง
ขอบสนาม
ย้อนรอย 4 อดีตแข้งลิเวอร์พูล ผู้ผ่านสมรภูมิไทยลีก
ขอบสนาม
OFFICIAL ! ยูเวนตุส จับ บุฟฟ่อน-คิเอลลินี่ ต่อสัญญาถึงปี 2021
ขอบสนาม
OFFICIAL ! ยูเวนตุส ปิดดีลสอย อาร์ตูร์ เมโล่ 72 ล้านยูโร
ขอบสนาม
รากฐานแน่น ! เจาะสาเหตุทำไม ยูเวนตุส ยัง แข็งแกร่งไร้ต้านในบ้านเกิด ?
ขอบสนาม
บาเยิร์น ตอบสนอง ! ข่าวลือ ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ ลิเวอร์พูล
ขอบสนาม
หลุยส์ ซัวเรซ ย้อนความหลัง! เรื่องที่เสียใจที่สุด สมัยรับใช้ ลิเวอร์พูล ?
ขอบสนาม
แมนฯ ยูไนเต็ด เตรียมโละ 5 แข้ง ระดุมทุนล่าตัว จาดอน ซานโช่
ขอบสนาม
เมเจอร์ ลีก ตรวจ โควิด-19 ! พบ นักเตะ ติดเชื้อ 18 คน สตาฟฟ์ 6 คน !
ขอบสนาม
เมืองทอง เปิดตัวดาวรุ่ง 3 รายรวด ฉัตรมงคล, พิชา, ภูมินทร์ เข้ารัง
ขอบสนาม
แวร์เนอร์ เปิดใจ! หลังอดช่วย ไลป์ซิก ลงเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายศึก ชปล.
ขอบสนาม
เพชรฆาตรของจริง! เบนเซม่า กับภารกิจพิฆาตกองหน้า ‘ราชันชุดขาว’
ขอบสนาม
บิ๊กอ๊อด ยันชัด!! ไทยลีกกลับมาเตะภายใน 14 วันไม่ได้
ขอบสนาม
กรณีศึกษา ทำไมลีกมาเลย์,เวียดนาม เตะให้จบได้ภายในสิ้นปี
ขอบสนาม
รวมรายชื่อ “แข้งสิงห์เจ้าท่า” ที่โดนปล่อยออกจากทีมไปแล้ว
ขอบสนาม
โคตรครีเอท! แฟนบอล เซนิต แปรภาพกำจัดเชื้อไวรัส (คลิป)
ขอบสนาม
หน้าตาสดใส! ชมภาพแข้ง หงส์แดง เดินทางมาฝึกซ้อมครั้งแรก หลังคว้าแชมป์ลีก
ขอบสนาม
เนียนกริ๊บ! ชมคลิป เบนเซม่า ตอกส้นอย่างงามให้ คาเซมิโร่ ซัดชัย
ขอบสนาม
แลมพาร์ด อัพเดต พูลิซิช เจอปัญหาเดี้ยงนัดเฉือน เลสเตอร์
ขอบสนาม
ฟาน เพอร์ซี่ ชำแหละ จุดอ่อน อาร์เซน่อล ต้องแก้ไขเร่งด่วน
ขอบสนาม
ผลจับสลาก เอฟเอ คัพ 2019/20 รอบรองชนะเลิศ
ขอบสนาม
ขอบสหนัง – Moviereview “The Kleptocrats โจราธิปไตย”
ขอบสนาม
ขอบสหนัง – Moviereview “My Hero Academia: Heroes Rising”
ขอบสนาม
คีน ชำแหละเหตุผล ทำไม ผีแดง ยังไม่อาจต่อกรลุ้นแชมป์กับ หงส์-เรือใบ
ขอบสนาม
ใจเอ็งมันได้! อคินเฟนว่า แหกคอกใส่ชุด หงส์แดง ไปซ้อม ยอมถูกปรับ
ขอบสนาม
ชมคลิป! ริเบรี่ ลืมแก่โซโล่เดี่ยวเฟี้ยวเงาะซัดใส่ ลาซิโอ
ขอบสนาม
คำทักทายแรก คล็อปป์ เมื่อถึงเมลวู้ด หลังดื่มด่ำฉลองแชมป์ พรีเมียร์ลีก
ขอบสนาม
บิ๊กทีมต้องฟัง! กุนซือห้างยา อัพเดทอนาคต ฮาแวร์ตซ์
ขอบสนาม
อย่างหล่อ! เตเวซ เซย์เยสต่อสัญญา โบค่า แต่ค่าเหนื่อยทั้งหมดยกให้การกุศล
ขอบสนาม
ใครคือ ลูก้า โรเมโร่ ? เด็กปั้นจากค่าย มายอร์ก้า เจ้าของฉายา “นิว เมสซี่”
ขอบสนาม
จัดอันดับ 10 สโมสร พรีเมียร์ลีก ที่ดีที่สุดตลอดกาล !
ขอบสนาม
อย่างโหด! เปิดสถิติของ อัลฟอนโซ่ เดวิส ในศึกบุนเดสลีกาฤดูกาล 2019-20
ขอบสนาม
ยลโฉม ! 23 แข้ง สกอตแลนด์ ที่ได้ แชมป์ลีก กับ ลิเวอร์พูล
ขอบสนาม
แลมพาร์ด มั่นใจ ! พูลิซิช อนาคตไกล…เทียบชั้น มาเน่-โม ซาลาห์ ได้ !
ขอบสนาม
ภาพหลุด! ชุดแข่งเหย้าของ เชลซี ในฤดูกาล 2020-21
ขอบสนาม
จากไปให้คิดถึง! ดอร์ทมุนด์ ปล่อยคลิปอำลา มาริโอ เกิทเซ่ (คลิป)
ขอบสนาม
ฟัง ! เจอร์เก้น คล็อปป์ พูดถึงข่าวลือ จาดอน ซานโช่ กับ ลิเวอร์พูล ?
ขอบสนาม
ซัวเรซ เปิดใจ! หลังสถานการณ์ลุ้นแชมป์ลาลีกา ตกอยู่ในกำมือของ เรอัล มาดริด
ขอบสนาม
เป๊ป คอนเฟิร์ม ! เรื่อง ตั้งแถวปรบมือ-ต้อนรับ ลิเวอร์พูล แชมป์ พรีเมียร์ลีก
ขอบสนาม
เซ็นมั้ย? ฮาเมส รับ ฝันย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ยู ตั้งแต่เด็กๆ
ขอบสนาม
อยู่บ้านแล้วคันเท้า! ร็อบเบน คัมแบ็ก หวนซ้อม โกรนินเก้น รอโม่แข้ง
ขอบสนาม
ผลงานไม่เข้าตา!”วินฟรีด เชเฟอร์” แยกทางทีมดังลีกยูเออี
ขอบสนาม
รวมสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องทำ ! ถ้าอยากกลับมาล่า ความสำเร็จ กับ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง
ขอบสนาม
หวั่นโควิดระบาดหนัก! หงส์ แถลงวอน เดอะคอป งดออกมาฉลองแชมป์
ขอบสนาม
ขอบสหนัง – Moviereview “32 Malasana Street 3”
ขอบสนาม
คิง เคนนี่ เชิดชู เฮนโด้ ก้าวสู่ระดับหนึ่งในยอดกัปตันแห่ง หงส์แดง
ขอบสนาม