เชื่อหรือไม่! "การตด" มีผลดีกับสุขภาพ

ตดใครคิดว่าไม่สำคัญ ตดเบาๆ เท่านั้น ทำให้…สั่นสะท้านสะเทือน "การตด" หรือ "การผายลม" เป็นสิ่งที่เกิดได้ตามธรรมชาติ ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่สัตว์บางประเภทก็สามารถผายลมได้เช่นกัน 

หลายคนอาจจะเคยทราบว่า การตดนั้นมีผลต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์เรา ช่วยทั้งรักษาโรค มีผลดีกับสุขภาพ และลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ป้องกันหัวใจวาย รักษาโรคอัลไซเมอร์ และช่วยสภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สิ่งเหล่านี้ถูกกล่าวถึงมากมาย แต่ที่แท้จริง "การตด" มาได้อย่างไร แล้วช่วยอะไรได้บ้าง

อย่างแรกมารู้กันว่าสารเคมีใน “ลมตด” มีอยู่หลายชนิด แต่มีเพียงแค่ร้อยละ 1-2 เท่านั้นที่มีกลิ่นเหม็นออกมาด้วย  แก๊สเหล่านี้จะมีธาตุกำมะถันหรือซัดเฟอร์เป็นองค์ประกอบ สารเคมีหลักที่มีกลิ่นในตด คือ แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (hydrogen sulfide) หรือแก๊สไข่เน่า แก๊สนี้จะเกิดจากเชื้อแบคมีเรียบางชนิดในลำไส้ ผลิตขึ้นระหว่างการย่อยอาหาร
สำหรับ "แก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์" ในลมตด มีความสำคัญในร่างกายมนุษย์และสิ่งมีชีวิต ร่างกายมนุษย์มีการผลิตแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ได้เองในปริมาณต่ำๆ เพื่อใช้ในกระบวนการส่งสัญญาณทางชีววิทยาระดับเซลล์ 
ตัวอย่างเช่น เมื่อเซลล์ถูกทำให้เสียหาย ไฮโดรเจนซัลไฟด์จะช่วยในการทำงานของไมโตครอนเดรีย และทำให้เซลล์ไม่ถูกทำลาย มีชีวิตได้นานขึ้น ในสมองของคนไข้โรคอัลไซเมอร์ มีปริมาณของไฮโดรเจนซัลไฟด์ลดลงอย่างมาก การเพิ่มปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด์ในหนูทดลองที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ทำให้อาการของโรคอัลไซเมอร์ดีขึ้น

ทั้งนี้ "การตด" ยังมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ไฮโดรเจนซัลไฟด์จะไปกระตุ้นการผลิตแก๊สอีกชนิด คือ ไนตริคออกไซด์ (nitric oxide, NO) ซึ่งจะไปทำให้กล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้ลดอาการหัวใจขาดเลือด (myocardial infarction) ซึ่งนำไปสู่สภาวะหัวใจวาย
เห็นได้ชัดเจนว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาและเข้าใจการทำงานของสารเคมีตัวเล็กๆ คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่กลิ่นเหม็น แต่มีประโยชน์  สารไฮโดรเจนซัลไฟด์จากลมตดผลิตขึ้นภายในเซลล์ ไม่ได้ผลิตจากภายนอกร่างกาย  ถึงแม้ว่าแก๊สไข่เน่าในลมตดจะปริมาณมากและอานุภาพเข้มข้นสูง จนอาจเป็นอันตรายกับผู้ที่สูดดมได้  แต่สิ่งที่ช่่วยได้ คือ การตดใส่เบาะ เพราะแก๊สไข่เน่าจากลมตดนี้ก็ถูกดูดซับลงไปแล้วส่วนหนึ่ง 

ขอบคุณข้อมูลจาก คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลงโทษพิลึก! ครูให้ นร.เขียนป้าย “ขอโทษที่ตดในชั้นเรียน”

ไส้เลื่อนลงไข่ เกิดจากไม่ใส่กางเกงใน จริงหรือ?