In focus
- การมองโลกในแง่ร้าย หรือทุทรรศน์นิยม (Pessimism) ถูกจัดวางให้อยู่ตรงข้ามกับการมองโลกในแง่ดี หรือสุทรรศน์นิยม (Optimism) ทั้งสองมุมมองต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ
- การมองว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ได้ทำให้เราหดหู่เพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและสามารถรับมือกับมันได้ในฐานะความจริงที่ต้องเผชิญ
- ในศตวรรษที่ 20 ปรัชญามองโลกในแง่ร้าย ถูกท้าทายด้วยกระแสปรัชญาต่างๆ ที่ทำให้เรามองโลกอย่างมีความหวัง แต่ในช่วงเวลานั้นก็มีนักมองโลกในแง่ร้ายตัวกลั่นกำเนิดขึ้น เขาคือ เอมีล โชราน (Emil Cioran)
- ผลงานสำคัญของเขาก็คือหนังสือ Précis de décomposition หรือ A Short History of Decay ที่พาเราไปสู่แนวคิดที่ว่าการมีชีวิตอยู่คือความทรมาน และการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องของคนมองโลกในแง่ดี
จากกรณีศึกษาที่ถูกนำเสนอไปแล้วเมื่อคราวก่อน นับจากเรื่องราวของนักประดิษฐ์ผู้ล้มเหลวหรือ สองพี่น้องผู้ไม่ได้คิดค้นภาพยนตร์จนไปถึงแวดวงนักเขียนชีวิตพังน่าจะเรียกได้ว่าเพียงพอแล้วที่เราจะเห็นว่าความผิดหวังเป็นศิลปะของมวลชนคนส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าจะพูดไปถึงวงการอื่นๆ ก็คงจะมีตัวอย่างความพินาศให้ยกมาเป็นอุทาหรณ์อีกมากมาย แต่ผู้เขียนบทความ (ที่แม้พยายามจะปวารณาตนเป็นศิลปินแห่งความผิดหวัง) ก็ยังคิดว่าน่าจะพักวางเรื่องพังๆ แล้วมาลองฟังดูสิว่า มีบุคคลใดในประวัติศาสตร์บ้างที่สามารถเผชิญหน้ากับความผิดหวังได้อย่างห้าวหาญ
หลังจากนั่งคิดนอนคิดหลายตลบก็พบว่ามีกลุ่มคนที่เรียกกันว่านักมองโลกในแง่ร้าย (Pessimist) พวกหนึ่งนี่ล่ะที่มีวิธีจัดการกับเหตุอับโชครุนแรงของตนเองหรือกับโลกใบนี้ได้ดีในแบบของพวกเขาเอง
ลัทธิมองโลกในแง่ร้ายจริง
“ปรัชญาของข้าพเจ้าไม่ปลอบประโลมใจอะไรใครทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าพูดความจริง และคนทั้งหลายที่มั่นใจเต็มประดาว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้าสร้างมานั้นดีอยู่แล้ว ก็จงไปหาพระและปล่อยนักปรัชญาทั้งหลายไว้ในความสงบ!”—อาเธอร์ โชเพนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer)
ในทางปรัชญา การมองโลกในแง่ร้าย หรือทุทรรศน์นิยม (Pessimism) มักถูกจัดวางให้อยู่ตรงกันข้ามกับการมองโลกในแง่ดี หรือสุทรรศน์นิยม (Optimism) ทั้งสองมุมมองถือว่าต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอด นักปรัชญากรีกโบราณอย่างเฮราไคลตัส (Heraclitus) ถูกเรียกว่า ปราชญ์ร่ำไห้ เพราะเขาน้ำตาไหลตลอดเวลา ขณะที่เดโมไครตัส (Democritus) ถูกเรียกว่า ปราชญ์กำสรวล เพราะเขาหัวเราะใส่ทุกอย่างบนโลกใบนี้
หรืออย่างผลงานของ On Nature or the Non-Existent ของกอร์เกียส (Gorgias) ผู้มีชีวิตอยู่ร่วมยุคร่วมสมัยกับโสเครตีส ก็ได้มีการกล่าวถึงขีดจำกัดของมนุษย์ในการเข้าถึงความเป็นจริงหรือความรู้ ที่อาจสรุปได้ด้วยคำสั้นๆ ว่า ชีวิตบนโลกใบนี้ช่างคลุมเครือและดูมืดมัวเกินกว่าแสงสว่างแห่งปัญญาจะสาดส่องเข้าไปถึง ซึ่งก็นับเป็นการอธิบายโลกในมุมร้ายอีกทางหนึ่ง
กล่าวได้ว่า การตั้งคำถามและความกังวลใจในสุขภาวะและทุกขภาวะของเรา ถือเป็นอีกเรื่องที่มนุษย์เฝ้าครุ่นคิดมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มอารยธรรม และก็เป็นเช่นนี้ในแทบทุกช่วงของประวัติศาสตร์ความคิด เพียงแต่คำว่า Pessimism ต้องถือเป็นศัพท์สมัยใหม่ที่กำเนิดเมื่อราวศตวรรษที่ 18 โดยคำนี้มีรากศัพท์มาจาก Pessimus ในภาษาลาตินที่แปลว่า ‘เลวร้าย’
คนหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับการมองโลกในแง่ร้ายอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเอกลักษณ์ติดตัวเขาจนจวบสิ้นลมหายใจก็คือ อาร์เธอร์ โชเปนเฮาเออร์ จะด้วยความอินกับปรัชญาอินเดีย ศาสนาพราห์ม-พุทธ หรือด้วยการพลาดหวังอะไรก็ตามตลอดชีวิต ทำให้เขาเห็นว่า “ชีวิตคือความผิดหวัง หรือไม่ก็เป็นเรื่องหลอกลวง”
อาร์เธอร์ โชเปนเฮาเออร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ที่เชื่อว่า ความสุขคืออุปสรรคในการมีชีวิตอยู่
โชเปนเฮาเออร์สร้างหลักปรัชญาจากคำอธิบายในเรื่องเจตจำนง (will) ที่กำหนดความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ เขาทำการโต้แย้งปรัชญาของไลบ์นิซ (Leibniz) ปราชญ์ยุคก่อนหน้าที่เห็นว่า “โลกเป็นไปได้ในหนทางที่ดีที่สุด” หรือโลกที่เป็นอยู่นี้ดีที่สุดแล้วเท่าที่มันจะดีได้ หากจำกันได้วอลแตร์ (Voltaire) เองก็ได้เขียนนวนิยายเรื่อง Candide ขึ้นมาเพื่อเสียดสีไลบ์นิซในเรื่องนี้เช่นกัน
ในขณะที่โชเพนเฮาเออร์นั้นได้ใช้ตรรกะมาอธิบายว่า “สิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เราสามารถวาดภาพ หรือจินตการถึง แต่ต้องเป็นสิ่งที่มีตัวตนและคงอยู่ หากโลกในตอนนี้ถูกจัดการให้ดูประหนึ่งว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความยุ่งยากที่ต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลที่ตามก็คือความเป็นไปไม่ได้ที่โลกเลวร้ายจะสิ้นสุดลง หรือไม่อาจคงอยู่ต่อไป ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง โลกจึงเป็นไปได้ในหนทางที่เลวร้ายที่สุด”
กล่าวให้เราสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือ โลกที่เป็นอยู่ไม่ได้ดี หรือสมบูรณ์ที่สุดเหมือนอย่างที่ไลบ์นิซกล่าวอ้าง หากแต่มันเป็นสถานที่ที่มนุษย์ดำรงอยู่ด้วยความทุกข์และทุกคนต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อจะมีชีวิตอยู่ กระนั้นการมองเห็นโลกเป็นสถานที่ร้ายๆ และเต็มไปด้วยความทุกข์โศก ไม่ได้ทำให้เราห่อเหี่ยวหรือหดหู่ใจเพียงอย่างเดียว หากบางครั้งมันกลับทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและการดำรงอยู่ของสิ่งต่างๆ ในท่ามกลางความทุกข์ และสามารถรับมือกับมันได้ในฐานะของความจริงที่เราต้องเผชิญ
ปรัชญามองโลกในแง่ร้ายได้เผยแพร่ออกไปพร้อมๆ ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 นักมองโลกในแง่ร้ายที่ถือกันว่ามีบทบาทในการเผยแพร่ความคิดดังกล่าวออกไปได้แก่ ไบรอน (Byron) กวีเอกชาวอังกฤษ เลโอพาร์ดี (Leopardi) กวีและนักปรัชญาชาวอิตาลี และโชเพนเฮาเออร์ ซึ่งเล่ากันว่าทั้งสามคนเคยอยู่พำนักในอิตาลีในห้วงเวลาเดียวกัน ทั้งสามต่างรู้กิตติศัพท์ของกันและกัน แต่ก็ไม่เคยพยายามนัดพบหรือทำความรู้จักกัน
แต่เมื่อย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ปรัชญามองโลกในแง่ร้ายที่อาจถูกท้าทายด้วยกระแสปรัชญาต่างๆ ที่ทำให้เรามองโลกอย่างมีความหวัง แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ได้มีผู้รับช่วงต่อเป็นชายคนหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดจากดินแดนอันเป็นต้นกำเนิดแห่งแวมไพร์ ผู้กลายเป็นประกาศกคนสำคัญ
คนแปลกหน้าในปารีส
“ความผิดหวังนั้นไม่มีขีดจำกัด”-อี. เอ็ม. โชราน
ช่วงฤดูหนาวก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองราวหนึ่งปี (1943-1944) บรรยากาศของปารีสเวลานั้นย่ำแย่ทั้งจากสภาพชีวิตความเป็นอยู่และแรงกดดันจากสงครามที่ปะทุคุโชนอยู่รอบนอก แต่กระนั้นคาเฟ เดอ เฟลอร์ ริมถนนแซงต์-แฌร์แม็ง-เดอ-แปรส ก็เปิดให้บริการตามปกติและยังเป็นที่สิงสถิตของบรรดาปัญญาชน โดยเฉพาะคู่รักนักปรัชญา ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) และ ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beavoir)
ห่างออกไปไม่ไกลจากคนทั้งสอง มีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองแบบแผงคอสิงโตนั่งสูบยากล้องอยู่เงียบๆ เพียงลำพังเช่นนั้นเป็นประจำแทบทุกวัน อาจมีบ้างที่เขาหันไปจุดบุหรี่ให้โบวัวร์ หรือซาร์ตร์ แต่เขาก็ไม่เคยเอื้อนเอ่ย หรือเสวนากับคนทั้งสอง แม้แต่โบวัวร์เองก็ทำมากสุดเพียงพยักหน้าแทนคำทักทาย หรือขอบคุณเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มผู้นิ่งเงียบนั้นคือ เอมิล โชราน (Emil Cioran) ในวัยสามสิบสามปี นักศึกษาปริญญาเอกชาวโรมาเนียจากบูคาเรส ที่ยังไม่เริ่มต้นเขียนวิทยานิพนธ์แม้แต่สักคำเดียว
เอมิล โชราน ในวัยสามสิบกว่า ผู้สถิตอยู่ในคาเฟ เดอ เฟลอร์ ราวกับเป็นสปาย
ความไม่เป็นฝรั่งเศสอวลอายอยู่รายรอบบุคลิก ท่วงท่าอาการ และโดยเฉพาะในดวงตาสีเขียวและขนคิ้วอันมีเอกลักษณ์ของเขา เขามาที่คาเฟ่ในเวลาเดิมๆ เป็นประจำแทบทุกวัน นั่งอยู่เงียบๆ เพียงลำพังตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หรือแต่ค่ำไปจนดึกดื่นเที่ยงคืนราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง
แทบไม่มีใครรู้เลยว่า ชายวัยสามสิบสามผู้นี้คือนักเขียนผู้เคยมีผลงานตีพิมพ์ในภาษาโรมาเนียมาแล้ว 5 เล่ม และผลงานเรื่อง On the Heights of Despair (1934) ได้สร้างชื่อให้แก่เขาในฐานะของนักปรัชญาหนุ่ม ผู้ปฏิเสธความหวังในการมีชีวิตอยู่
แต่ชายคนนี้ในปารีสกลับเป็นเพียงคนแปลกหน้า เป็นปัญญาชนในวงรอบนอกซาร์ตร์-โบวัวร์ที่แทบไม่เคยปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับคนวงในเลยจนกระทั่งเขาเริ่มต้นเขียนผลงานชิ้นหนึ่งขึ้นมาในภาษาฝรั่งเศส ผลงานที่เขาเปรียบเปรยว่าเป็นดั่ง “การเขียนจดหมายรักในขณะที่มือข้างหนึ่งถือพจนานุกรม”
จาก Emil Cioran สู่ E.M. Cioran
เอมีล โชราน ได้ส่งต้นฉบับที่เขาเขียนและแก้ไขอยู่หลายรอบแก่ให้อัลแบรต์ กามูส์ (Albert Camus) นักปรัชญาผู้โด่งดังที่ประจำอยู่ที่สำนักพิมพ์กัลลิมารด์ (Gallimard) ในเวลานั้นเป็นผู้อ่าน แต่ก็ต้องประสบกับความผิดหวังอย่างจัง เมื่อกามูส์เห็นว่า ผลงานชิ้นนี้ขาดแกนหลักในการนำเสนอ ทุกประเด็นดูแปลกแยกและกระจัดกระจาย นั่นเป็นเพราะโชรานเขียนผลงานในรูปแบบของ Aphorism ที่ถักสานทุกอย่างจากถ้อยความรวบกระชับสลับกับความเรียงสั้นๆ ที่พูดถึงหลากประเด็นความคิด
คำท้วงติงเชิงจิกกัดของกามูส์ทำให้เขากลับไปแก้ไขผลงานของเขาด้วยความขื่นขมและแค้นเคือง ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า ความพยายามในการมีผลงานตีพิมพ์ รวมถึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้นของโชรานที่ต้องการเอาชนะทั้งความดัดจริตของปัญญาชนชาวฝรั่งเศสรวมไปถึงผู้คนในประเทศบ้านเกิดของเขา
จนในที่สุด ผลงาน Précis de décomposition (1949) หรือ A Short History of Decay ก็ได้รับการตีพิมพ์โดยกัลลิมารด์ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ได้รับรางวัลรีวารอล (Rivarol) สำหรับต้นฉบับยอดเยี่ยมโดยนักเขียนต่างชาติ และก็ได้ทำให้หนุ่มชาวโรมันเนียวัยสามสิบปลายได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อของ E.M. Cioran จนชื่อของเขาก็ถูกนำไปเทียบชั้นกับซาร์ตร์และกามูส์ ถือว่าแผนการแก้แค้นของโชรานได้บรรลุผลสำเร็จ
หนังสือ Précis de décomposition (1949) ฉบับพิมพ์ครั้งแรก
สิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ A Short History of Decay เป็นผลงานที่ไม่แสดงถึงความหวังใดๆ บนโลกใบนี้ โชรานได้กระทำความโชเพนเฮาเออร์ไปจนถึงจุดที่ผู้อ่านค้นพบว่าตัวเองถูกเหวี่ยงลงมาบนโลกที่รอวันพังทลายลงได้ทุกขณะ นักปรัชญาในถูกเปรียบเปรยให้เป็นโสเภณีที่คอยเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเอาใจแขก และการฆ่าตัวตายนั้นก็เป็นเพียงการกระทำของคนมองโลกในแง่ดี จนกล่าวได้ว่าทุกสิ่งอย่างและความคิดที่ปรากฏในผลงานชิ้นนี้ช่วยขับเน้นบรรยากาศแห่งความล่มสลายของอารยธรรมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
โชรานได้นำพาพาศิลปะของความสิ้นหวัง (ผ่านการมองโลกในแง่ร้าย) ไปสุดขอบความคิด แต่กระนั้น A Short History of Decay ก็เป็นผลงานที่ตอบโจทย์คนจำนวนมากมายในเวลานั้นที่ทำให้หันกลับมามองความจริงว่า โลกไม่เคยเป็นดินแดนในอุดมคติ และอาจไม่มีวันเป็น ส่วนความสิ้นหวังก็นั้นก็ไม่เคยมีจุดสิ้นสุด ดังนั้นแล้วการมีชีวิตอยู่โดยเนื้อแท้จึงเป็นความทุกข์ทรมาน
โมริส นาโด (Maurice Nadeau) นักวิจารณ์ผู้โด่งดังในเวลานั้นถึงกับเขียนบทวิจารณ์เพื่อสรรเสริญโชรานไว้ในหนังสือพิมพ์ Combat ว่า “เขามาถึงแล้ว เขาผู้ซึ่งเรากำลังเฝ้ามองหา ศาสดาพยากรณ์ในยุคของเรา ยุคแห่งค่ายกักกัน การอัตวินิบาตกรรมหมู่ ผู้ถูกเลือกที่มาถึงที่รับการฝึกฝนตระเตรียมตัวจากนักปรัชญาแห่งความว่างเปล่า ความไร้สาระ ผู้นำสารแห่งข่าวร้ายชั้นยอด ขอเรากล่าวต้อนรับเขาและเว้ามองเขาอย่างพิจารณาอย่างใกล้ชิด เขาผู้เป็นประจักษ์พยานแห่งห้วงเวลาที่เราอยู่”
แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นประเด็นสำคัญในงานเขียนของเขา กระทั่งผลงานที่เขาเขียนในภาษาโรมาเนียที่เรารู้จักในชื่อ On the Heights of Despair ก็มาจากวลีที่หนังสือพิมพ์มักจะใช้สำหรับข่าวฆ่าตัวตาย (เช่น “ณ จุดสูงสุดแห่งความสิ้นหวัง ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าตัดสินใจฆ่าตัวตาย”) แต่กระนั้นโชรานกลับไม่เคยพยายามคิดฆ่าตัวตาย เพราะการฆ่าตัวตายมักเป็นสิ่งที่เกิดช้าไปเสมอ
ในวัยชราของเอมิล โชราน
โชรานเสียชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์ในวัย 84 ปี หรือภายหลังจากคนชีวิตของเขา ซีโมน บูเอ่ (Simone Boué) จากไปราวสองปี
อ้างอิง
- E.M. Cioran, The Trouble of Being Born, translated by Richard Howard (New York: Arcade Publishing, 2016)
- E.M. Cioran, History and Utopia , translated by Richard Howard (New York: Arcade Publishing, 2016)
- Arthur Schopenhauer, On the Suffering of the World (London: Penguin Books, 2004)
- Ilinca Zarifopol-Johnston, Searching for Cioran, edited by Kenneth R. Johnston (Indianapolis: Indiana University Press, 2009)
เมื่อเทียบเคียงกับ ทุกข์ ในอริยสัจจ์ ๔ การมองในแง่ร้าย ก็คลายกับเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ เพียงแต่เมื่อมองไปแล้ว ควรไปให้สุด มองไปตามลำดับ ไปสู่ มองให้เห็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่น(สมุทัย) มองให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม(นิโรธ) คล้ายๆ กับว่า เมื่อเห็นว่า ร้ายสุดเป็นอย่างนี้ แล้วดีที่สุดเป็นเช่นไร และมองเรื่อยไปสุดที่ แล้วทางที่นำไป(มรรค) สู่สิงที่ดีที่สุดนั้น เป็นเช่นไร .... การมองโลกในแง่ร้ายก็จะเกิดประโยชน์ได้เช่นกัน
24 มิ.ย. 2561 เวลา 22.57 น.
Chanachon สาธุ
24 มิ.ย. 2561 เวลา 16.19 น.
ดูทั้งหมด