ท่ามกลางกระแสข่าวร้อนแรงตอนนี้คงหนีไม่พ้นกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่สั่งฟ้อง บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา ทุกข้อกล่าวหา ในคดีขับรถชน ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 นำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน และก่อให้เกิดคำถามและความเคลือบแคลงสงสัยในรูปคดีว่า แท้จริงแล้วการดำเนินการของคดีเป็นไปอย่างขาวสะอาดหรือไม่
THE STANDARD ได้เอกสารเปิดเผยคำให้การของพยานซึ่งให้การเป็นประโยชน์ต่อวรยุทธ ก็คือ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร (ขณะนั้นมียศเป็นผู้ทรงคุณวุธ กองทัพอากาศ) ซึ่งมาให้การหลังเกิดเหตุนานกว่า 3 ปี
โดยเนื้อหาคำให้การเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 ที่ สน.ทองหล่อ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร ระบุว่าในวันเกิดเหตุ พยานได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับ พล.อ.ท. สุรเชษฐ ทองสลวย ที่ร้านฟาลาเบลล่า ย่านถนนราชดำริ ก่อนจะแยกย้ายกลับในช่วงเวลา 04.00 น. ของวันที่ 3 กันยายน 2555 เพื่อไปร้านข้าวต้มอีกแห่ง
โดยขณะขับรถอยู่ในช่องเดินรถที่ 2 (เลนกลาง) อยู่นั้น พล.อ.ท. จักรกฤช ให้การว่าได้สังเกตเห็นชายคนหนึ่งใส่ชุดเครื่องแบบตำรวจ และขี่รถจักรยานยนต์ป้ายทะเบียนตราโล่คล้ายป้ายตำรวจ แต่ไม่ได้จำหมายเลขทะเบียน มาในช่องทางเดินรถที่ 1 (ช่องซ้ายสุด) มีลักษณะขับส่ายไปส่ายมาทำท่าจะเปลี่ยนมาเลน 2
จึงได้พูดคุยกับ พล.อ.ท. สุรเชษฐ ว่าคนขับรถจักรยานยนต์เมาหรือเปล่าจึงขี่รถส่ายไปมาแบบนี้
พล.อ.ท. สุรเชษฐ จึงได้บอกให้ตนขับรถชิดซ้ายเพื่อจอดรถเพราะเกรงว่าจะชนรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ตนจึงได้ชะลอความเร็วลงเพื่อเปลี่ยนมายังเลนที่ 1 และมาจอดอยู่ห่างจากปากซอยสุขุมวิท 47 ประมาณ 15 เมตร โดยให้การเพิ่มเติมว่า เกรงจะชนรถจักรยานยนตร์ของตำรวจดังกล่าว
“ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้เห็นมีรถกระบะคันหนึ่งแล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 2 ขับแซงรถยนต์ของข้าพเจ้าไป ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าเห็นรถจักรยานยนต์ของตำรวจได้ขับเปลี่ยนช่องทางเดินจากรถช่องที่ 1 ตัดเข้าช่องทางเดินรถที่ 2 ในลักษณะที่รถจักรยานยนต์ขับตัดหน้ารถกระบะอย่างกระชั้นชิด โดยไม่ส่งสัญญาณมือหรือสัญญาณไฟเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง ทำให้คนขับรถยนต์กระบะต้องหักเลี้ยวไปด้านซ้ายเพื่อเบี่ยงหลบรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปในช่องทางเดินรถที่ 1
“แต่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวก็ยังขับเปลี่ยนช่องเข้าไปในช่องทางเดินรถช่องที่ 3 (ช่องขวาสุด) ตัดหน้ารถเก๋งสปอร์ตคันหนึ่งซึ่งแล่นมาในช่องทางเดินรถช่องที่ 3 อย่างกระชั้นชิด ทำให้รถทั้ง 2 คันเฉี่ยวชนกัน เมื่อเกิดเหตุการชนกันของรถจักรยานยนต์และรถเก๋งสปอร์ตในช่องทางเดินรถช่องที่ 3 แล้ว ข้าพเจ้าเห็นรถจักรยานยนต์ได้เกี่ยวติดไปกับสปอยเลอร์ของรถยนต์เก๋งสปอร์ต โดยคนขับรถยนต์เก๋งสปอร์ตได้ค่อยๆ ขับเปลี่ยนรถเข้ามาในช่องทางเดินรถช่องซ้ายสุด และจอดบริเวณซอยสุขุมวิท 49 และพบผู้ขับรถจักรยานยนต์นอนอยู่บนถนนบริเวณที่เกิดเหตุ
“ในช่วงเกิดเหตุมีคนเข้าไปดูบริเวณที่ตำรวจนอนอยู่บนถนนบริเวณที่มีการชนกันในคดีนี้ เห็นมีชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 9-10 คน กำลังวิ่งกรูไปที่รถยนต์เก๋งสปอร์ตที่จอดอยู่ในขณะนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นมีตำรวจอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นข้าพเจ้าเห็นรถยนต์เก๋งสปอร์ตได้ขับออกไป ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามีคนแจ้งเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้ขับรถยนต์ต่อไปเพื่อไปรับประทานข้าวต้ม” พล.อ.ท. จักรกฤช กล่าว
อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งของการให้การของ พล.อ.ท. จักรกฤช เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนถามว่า “เหตุใดท่านจึงมาให้การเป็นพยานในเวลานี้?”
โดย พล.อ.ท. จักรกฤช ให้การว่า ในวันเดียวกันนั้น ตนเพิ่งทราบว่าผู้ขับรถยนต์ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจคือลูกชายของเจ้าของบริษัทเครื่องดื่มกระทิงแดง แต่ก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจในคดีดังกล่าว
จนกระทั่งเดือนเมษายน 2558 เจ้าตัวได้มีโอกาสพบ ร.อ. สอาด ศบศาสตราศร นักเรียนนายเรืออากาศรุ่นพี่ที่รู้จักกัน เพื่อมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการให้ลูกชายสอบคัดเลือกเป็นนักบิน ซึ่งช่วงหนึ่งของการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการห่วงลูก และได้มีการยกตัวอย่าง ‘เฉลิม อยู่วิทยา’ เจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง ที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับคดีของลูกชาย (บอส อยู่วิทยา) ที่ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงแก่ความตาย
ทำให้ทราบในวันเดียวกันนั้นว่า คดียังไม่จบ ทั้งที่ผู้ตายคือฝ่ายผิด เพราะขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทและไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ร.อ. สอาด เดินทางมาพบที่บ้านพัก และขอให้ตนเองไปเป็นพยานกับพนักงานสอบสวนฯ เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งตนยินดีมาให้การ เนื่องจากเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
ทั้งนี้ ในการให้การฉบับนี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนฯ ได้ถามต่อว่า ก่อนหน้านี้รู้จักกับ เฉลิม อยู่วิทยา และโกรธเคืองใครในคดีดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งทาง พล.อ.ท. จักรกฤช ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่รู้จัก และไม่เคยโกรธใคร ตามระบุในข้อซักถามข้างต้น
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
ทัพฟ้า ท่านจักรกฤชท่านแน่มาก ปั้นเรื่องได้เก่งจัง ตำรวจเขาไม่ได้ดื่มเหล้าเขาจะขับจากเลน 1 ไปเลน 3 ไดังัย ถ้าเขาเมาขนาดขับข้ามเลนถึงเลน 3 เขาก็คงไม่สามารถขับรถมาถึงขนาดนี่หรอกแค่นั่งค่อมรถๆก็ล้มาแล้ว ขอวิเคราะห์บ้าง ตร.ขับเลน1 ท่านจักรกฤชขับตามมาเลน 2 ส่วนนายบอสขับตามรถจักรกฤชมาด้วยความเร็วและขับแซงซ้ายเข้ามาเลนที่ 1 นายบอสเห็นมอร์ไซด์อยู่ข้างกน้าจึงหักหลบมาเลนที่ 2 แต่ไม่ทันพ้นจึงชนกับมอร์ไซด์ ตร. ถ้าท่านจักรกฤชขับเร็วรถท่านก็อาจชนกับรถนายบอสเหมือนกัน
06 ส.ค. 2563 เวลา 09.22 น.
Poe ขนาดดื่มกันมา ยังแทบจำได้แม่นทุกวินาทีเลยวุ้ย
06 ส.ค. 2563 เวลา 09.32 น.
โกหก
06 ส.ค. 2563 เวลา 09.30 น.
S. Tanupun พยานคนนี้จอดรถดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แล้วก็คอยจนรถสปอร์ทขับผ่านไป จนจบ นึกว่ามีคนแจ้งตำรวจแล้วเลยขับไปต่อ (ถ้าพบเห็นเหตุการณ์ นึกไม่ได้ ต้องโทรแจ้ง จะโทรซ้ำกับคนอื่นก็ได้ ไม่แปลก).
ในกล้องวงจรปิดมีรถของพยานคนนี้หรือไม่ เพราะเค้าอยู่ในเหตุการณ์ค่อนข้างนาน...
ในรถที่เห็นเหตุการณ์มีคนในรถ 2 คน ทำไมเสนอตัวเป็นพยานแค่คนเดียว คนที่ท่านคุยด้วยข้างๆไม่ช่วยมาเป็นพยานเหรอ...
06 ส.ค. 2563 เวลา 10.14 น.
phaitoon พยานเท็จ ประชาชนไม่เชื่อ แต่สนช.สั่งให้ตำรวจสอบสวนใหม่ อัยการตำรวจกลับดำเป็นขาว
06 ส.ค. 2563 เวลา 09.39 น.
ดูทั้งหมด