กนอ. เผยนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย พาเหรด จ่อจองพื้นที่นิคมฯ ยางพารา จ.สงขลา 500 ไร่ ขณะที่แผนการพัฒนาพื้นที่นิคมฯ ใกล้สมบูรณ์ 100% มั่นใจพร้อมเปิดรับนักลงทุนไทย-เทศ
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตรในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา ตามยุทธศาสตร์พลังประชารัฐที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการผลิต เพื่อยกระดับราคายางพาราภายในประเทศให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน กนอ.ได้เร่งดำเนินการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือ รับเบอร์ชิตี้ ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา บนพื้นที่รวม 1,248 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมคลัสเตอร์ยางพารา และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดยปัจจุบันการพัฒนาพื้นที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว พร้อมรองรับนักลงทุนที่สนใจทั้งในและต่างประเทศเข้าใช้พื้นที่เพื่อประกอบการได้ทันที
ทั้งนี้ภายหลังจากที่การพัฒนาพื้นที่นิคมฯ ยางพารามีความชัดเจน ทั้งทางด้านระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ส่งผลให้มีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศมาเลเซีย ไต้หวัน จีน และญี่ปุ่น ตัดสินใจที่จะใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อการลงทุน โดยล่าสุดได้แจ้งความประสงค์จองพื้นที่เพื่อประกอบกิจการแล้ว ประมาณ 500 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมการแพทย์ และ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง
ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่ที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจอยู่ระหว่างการตัดสินใจเข้ามาลงทุนอีก จำนวน 179 ไร่ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพไม่ว่าจะเป็นระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดต่าง ๆ ทั้งในกลุ่มสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (IMT – GT) ประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย รวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
นอกจากนี้ในพื้นที่ดังกล่าว ยังมีความได้เปรียบทางด้านแรงงาน และวัตถุดิบยางพารา โดย กนอ. คาดว่าหากมีการใช้พื้นที่เต็มโครงการทั้งหมด จะมีความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นประมาณ 9,000 ตันต่อปี โดยมีสัดส่วนเป็นน้ำยางข้นประมาณ 60% หรือ 5,400 ตันต่อปี และยางแผ่นรมควัน ประมาณ 40 % หรือ 3,600 ตันต่อปี ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้แก่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางประมาณ 450 ล้านบาทต่อปี และเมื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางพาราแล้วจะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 10 เท่า หรือ คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 4,500 ล้านบาทเลยทีเดียว
KTU ... คิดแค่นี้...ทำไมไม่สนับสนุน คนไทย เป็นผู้ผลิต เอง ..ซึ่งจะได้มาห กว้า แบบนี้ เคเา ก็ยังรับซื้อ ราคา ถูกลง เนื่องจาก อยู่ในประเทศ ผู้ผลิต วัตถุดิบ...
เราได้แค่ ค่าเช้า นิคม
23 ต.ค. 2561 เวลา 14.02 น.
visoottum游元魁 คนไทยไม่มีที่ดินมากมาย
23 ต.ค. 2561 เวลา 23.50 น.
เตี๋ยวเรือวิศ-วะ แล้วด้านระบบขนส่งได้สร้างรึยัง ถนนก็มีอยู่สายเดียว คุณคิดว่าอย่างไร
23 ต.ค. 2561 เวลา 11.58 น.
พงศ์ณภัทร บุญโสม ทำเร็วๆเถอะครับ ราคายางตกอย่างมากเลย ไม่ไหวแล้ว
23 ต.ค. 2561 เวลา 13.19 น.
ดูทั้งหมด