ตั้งแต่ปี 2017 มีชาวโรฮิงญาหลบหนีออกจากเมียนมาข้ามแดนเข้าไปยังบังกลาเทศเป็นเรือนแสน
ประเมินกันว่า ในเวลานี้มีโรฮิงญาในบังกลาเทศอยู่ราว 1.1 ล้านคน ในจำนวนนี้ 630,000 คนปักหลักเป็นคนอพยพหนีภัยอยู่ใน “ค่ายผู้ลี้ภัยคูตูปาลอง” ในเมืองชื่อ “ค็อกซ์บาซาร์” ที่มีพรมแดนติดต่อเมียนมากับของบังกลาเทศ
ปัญหาดั้งเดิมที่เรื้อรังมานานปีกำลังเสี่ยงจะกลายเป็นปมโศกนาฏกรรมขึ้นมาในปี 2020 เพราะโควิด-19
ภายในค่ายคูตูปาลอง มีทุกอย่างที่เอื้อต่อการเกิดการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสร้ายแรงตัวนี้
โมฮัมหมัด อารฟัต โรฮิงญาในค่ายอธิบายไว้ว่า ที่นี่ ต่อให้บังคับอย่างไรก็ทำ “โซเชียลดิสแทนซิ่ง” ไม่ได้
คนเกินครึ่งล้าน ยัดทะนานกันอยู่ในพื้นที่แคบจำกัด ก็ต้องอยู่ในสภาพที่ต้อง “อยู่ร่วม” กับคนอื่นอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งในยามตื่นแลยามหลับ
ที่พักทรุดโทรมแต่ละหลังใกล้ชิดติดกันแทบหลังคาเกยกัน
“ส้วมแต่ละหลัง ห้องน้ำแต่ละห้อง มีคนใช้งานร่วมกันที่ละหลายสิบ”
ในค่าย “ห้ามใช้” สมาร์ตโฟนและอินเตอร์เน็ต นั่นหมายถึงการกระจายข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการรักษาสุขอนามัยส่วนตัว อาทิ คำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก ไปให้ถ้วนทั่วทั้งค่ายเป็นไปไม่ได้
และทุกคนก็ไม่สามารถติดต่อกับนายแพทย์หรือใครๆ เพื่อขอคำแนะนำถ้าหากเริ่มมีอาการได้เช่นกัน
หน้ากากอนามัยไม่มี เจลแอลกอฮอล์ล้างมือก็ไม่เห็น คำแนะนำที่ทุกคนได้รับคือ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่เท่านั้น
สภาพที่คล้ายกับเป็นโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นหน้ามือหลังมือจากโลกภายนอกเช่นนี้ อาจไม่เสี่ยงโควิด-19 มากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในบังกลาเทศ ถ้าหากไม่มีข้อเท็จจริงที่ว่า มีหนึ่งในชาวบังกลาเทศที่ได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิด-19 เป็นชาวบ้านที่ค็อกซ์บาซาร์
อยู่ห่างจากค่ายโรฮิงญาคูตูปาลองเพียงไม่ถึง 40 กิโลเมตรเท่านั้น
ขอเพียงมีผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เดินเข้าไปในค่ายสักคน โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
ทางรอดของโรฮิงญาทั้งค่าย ขึ้นอยู่กับการได้เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัย, การรักษาสุขอนามัย และเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งไม่มีอยู่ในมือแม้แต่อย่างเดียว
ค่ายลี้ภัยโรฮิงญาไม่ได้เป็นค่ายผู้ลี้ภัยเดียวที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ในซีเรียก็ใช่ ผู้อพยพในฝรั่งเศสและกรีซก็ใช่
ในยามที่รัฐบาลแต่ละประเทศเต็มมืออยู่กับการระบาดในหมู่คนของตนเอง
ผู้ลี้ภัยก็เหมือนภาระที่ตกอยู่กับกลุ่มองค์กรเพื่อมนุษยธรรมทั้งหลาย ซึ่งพยายามกระจายข้อมูลและให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ในเวลานี้
แต่ก็ยอมรับกันว่า หากไวรัสโควิด-19 มาถึง หนทางที่จะยับยั้งการระบาดในค่ายก็ “เป็นไปไม่ได้”
โมจิบ อุลเลาะห์ นักเคลื่อนไหวเพื่อมนุษยธรรมจากออสเตรเลียเองยอมรับว่า เมื่อได้ยินว่าบังกลาเทศมีผู้ติดเชื้อแล้ว 49 ราย เสียชีวิต 5 รายแล้ว ก็ได้แต่ทำใจว่า ค่ายคูตูปาลองก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้นเอง
รอใครสักคนนำพาเชื้อกลับมายังค่าย แล้วใช้ชีวิตคลุกคลีกับชาวโรฮิงญาภายใน
เท่านั้นก็สามารถก่อเหตุ “สังหารหมู่” ขนานใหญ่ขึ้นได้แล้ว
อเธนา เรย์เบิร์น หัวหน้าคณะทำงานของเซฟ เดอะ ชิลเดร้น ประจำค็อกซ์บาซาร์ เห็นพ้องด้วยว่า ค่ายลี้ภัยที่ใหญ่และแออัดที่สุดในโลกแห่งนี้ กำลังรอเวลาการระบาดมาถึง
“เมื่อถึงตอนนั้นอาจตายกันหลายพันคน” เธอคาดการณ์ไว้เช่นนั้น
พวกสิทธิมนุษย์ชนไปไหนหรือที่แบบนี้ไม่ไปกัน
10 เม.ย. 2563 เวลา 06.00 น.
สวัสดี เห็นแล้ว สงสาร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้คนที่มีเชื้อ เข้าไปในนั้น เราโชคดีแค่ไหนเ เรามีทางเลือกมากกว่าเขาเยอะ ยังไงก็ขอให้ปลอดภัยล่ะกัน ในถานะ มนุษย์เหมือนกัน ทำได้แค่นี้
10 เม.ย. 2563 เวลา 09.13 น.
แม่fang ka ไห้ทุกคนบนโลกปลอดภัย
10 เม.ย. 2563 เวลา 07.27 น.
ออกจากห้องแซท มนุษย์เกิดมาแล้วแต่บุญกรรม และมนุษย์ก็ต้องมีศาสนาเป็นที่พึ่งนำทางชีวิต ทุกอย่างเป็นไปตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติมิอาจจะหลีกได้ ย่อมเป็นที่น่าสงสารยิ่งเมื่อรู้เมื่อเห็น ขอให้มนุษ์จงปฏิบัติตามคำสอน ของศาสดาของแต่ละศาสนา และก็ตรองดูว่าศาสนาไหนๆเป็นอย่างไร สอนอย่างไร ผลเป็นอย่างไร และเชื่อได้ไหม
10 เม.ย. 2563 เวลา 14.27 น.
KANUENGSAG .เหนื่อยแทน
10 เม.ย. 2563 เวลา 07.25 น.
ดูทั้งหมด