เป็นช่วงที่หุ้นกลุ่มพลังงานกลับมาได้รับความสนใจจากตลาดอีกครั้ง หลังเกิดเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งเกือบ 20% ภายในวันเดียว นับเป็นการปรับขึ้นระหว่างวันสูงสุดในรอบ 28 ปีเลยทีเดียว
เหตุการณ์นี้สำคัญอย่างไร ทำไมถึงกระทบต่อราคาน้ำมันทั่วโลกขนาดนี้ คำตอบคือนี่เป็นโรงกลั่นน้ำมันของ Saudi Aramcoรัฐวิสาหกิจน้ำมันยักษ์ใหญ่ของซาอุฯ ซึ่งมีแผนกำลังจะเข้าตลาดตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2020
ว่ากันว่าหากSaudi Aramco เข้า IPO จะกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าซื้อ-ขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุบสถิติของ Alibaba แบบขาดลอย ด้วยมูลค่าที่คาดว่าจะสูงกว่า 66 ล้านล้านบาท หรือใหญ่เป็น 2.5 เท่า ของบริษัท APPLE
ตอนนี้ทุกฝ่ายจึงจับตามองกันว่า Saudi Aramco จะสามารถกลับมาเร่งผลิตน้ำมันได้ตามปกติเมื่อไหร่ เพราะ ณ ปัจจุบันบริษัทต้องลดกำลังผลิตลงกว่า 50% ส่งผลต่อปริมาณน้ำมันในตลาดโลกหายไปถึง 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน
“เปิดสถิติวิกฤติปริมาณน้ำมันดิบครั้งใหญ่ของโลก”
1.เหตุโดรนถล่มโรงกลั่นซาอุดิอาระเบีย (ก.ย. 2019) : ปริมาณผลิตหายไป 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน
2.ปฏิวัติอิหร่าน (1978-1979) : ปริมาณผลิตหายไป 5.6 ล้านบาร์เรล/วัน
3.สงครามอาหรับ-อิสราเอล (1973-1974) : ปริมาณผลิตหายไป 4.3 ล้านบาร์เรล/วัน
4.สงครามอิรัก-คูเวต (1990-1991) : ปริมาณผลิตหายไป 4.3 ล้านบาร์เรล/วัน
5.สงครามอิหร่าน-อิรัก (1980-1981) : ปริมาณผลิตหายไป 4.1 ล้านบาร์เรล/วัน
6.วิกฤติเวเนซุเอลา (2002-2003) : ปริมาณผลิตหายไป 2.6 ล้านบาร์เรล/วัน
7.สงครามกลางเมืองในอิรัก (2003) : ปริมาณผลิตหายไป 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน
8.สหรัฐ ระงับอิรักส่งออกน้ำมัน (2001) : ปริมาณผลิตหายไป 2.1 ล้านบาร์เรล/วัน
9.วิกฤติคลองสุเอซ (1956-1957) : ปริมาณผลิตหายไป 2 ล้านบาร์เรล/วัน
10.สงคราม 6 วัน อิสราเอล-อียิปต์ (1968) : ปริมาณผลิตหายไป 2 ล้านบาร์เรล/วัน
* รวบรวมข้อมูลโดย StockRadars
“PTT – PTTEP กอดคอรับอานิสงส์”
กลับมามองที่ประเทศไทยกันบ้าง อย่างที่บอกไปข้างต้นครับ“ท่ามกลางวิกฤติ ย่อมมีโอกาส” เพราะเมื่อราคาน้ำมันพุ่งแรงอยู่แบบนี้ แน่นอนว่าหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้นกลุ่มพลังงาน
โดยเฉพาะ 2 พี่ใหญ่ตลาดหุ้นไทยของกลุ่มปตท. ได้แก่ PTT บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ PTTEPบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) นั่นก็เพราะที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบมีความสัมพันธ์กับ PTT และ PTTEP อย่างมาก คือในช่วงที่ราคาน้ำมันดิ่งลง ราคาหุ้นก็จะลดลงตาม กลับกันหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น นั่นก็หมายถึงปัจจัยบวกต่อกำไรของทั้ง 2 บริษัทด้วย โดยเฉพาะ PTTEP ที่ผลประกอบการอิงกับราคาน้ำมันดิบอย่างมาก
ขณะที่ PTT อาจจะมีความผันผวนกับราคาน้ำมันน้อยกว่า เนื่องจากบทบาทของบริษัทลดการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจน้ำมันลงเหลือราว 50% ดังนั้นความน่าสนใจจึงมักอยู่กับบริษัทลูกอย่าง PTTEP มากกว่า ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันโดยตรง
นอกจากจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันแล้ว ทั้ง 2 ยังถือเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักต่อดัชนีมากๆ เพราะเมื่อเรามองไปที่บริษัทที่ทำกำไรมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก 2562 พบว่า อับดับหนึ่งเป็นของ PTT มีกำไรสุทธิ 55,250.21 ล้านบาท ส่วนอันดับสองก็คือPTTEP ซึ่งมีกำไรสุทธิ 26,163.22 ล้านบาท เรียกว่ากอดคอกันโต กอดคอกัน รับผลบวกเต็มๆ
dad ถึงไม่มีเหตุโจมตีโรงกลั่นซาอุฯ ราคาน้ำมัน บ้านเรา ก็ขึ้นมาอยู่ราคาสูงกว่า มาเลเซีย, เวียดนาม(ไม่มีโรงกลั่น ส่งออกน้ำมันดิบอย่างเดียว และนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป)
22 ก.ย 2562 เวลา 10.26 น.
ดูทั้งหมด