รองโฆษก ศบค. เผยยอดผู้ป่วยโควิด-19 วันนี้เพิ่ม 1 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 3,077 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 59 ราย ชี้ผู้ป่วยใหม่รอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine
วันที่ 30 พ.ค.2563 พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 16 ราย ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,961 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.23 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพียง 59 ราย หรือร้อยละ 1.92 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 1 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบียและได้เข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 57 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,077 ราย
พญ.พรรณประภา กล่าวว่า ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด 52 ราย ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine จำนวน 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 82.69 อย่างไรก็ตามยังมีคนไทยตกค้างอยู่ในต่างประเทศ เช่น นักศึกษา คนทำงาน นักท่องเที่ยว เป็นต้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายรับคนไทยกลับทุกคน และนำเข้า State Quarantine ที่รองรับไว้ เพื่อป้องกันการนำเชื้อแพร่สู่คนในประเทศ ซึ่งการนำคนไทยกลับเข้าประเทศ ได้คำนึงถึงความพร้อมในการรองรับเพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และเกินกำลังในการดูแลของทีมบุคลากรทางการแพทย์ จำกัดจำนวนผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งทุกคนที่เดินทางเข้ามาจะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อจำนวน 2 ครั้ง หากพบผู้ติดเชื้อจะนำเข้าสู่ระบบการรักษา ขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรการการดูแลผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศว่ากระทรวงสาธารณสุขสามารถดูแล ควบคุม ป้องกันโรคได้ตามมาตรฐาน
รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการระยะ 3 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 อนุญาตให้มีการเปิดกิจการและกิจกรรมเพิ่มขึ้น อาทิ สนามกีฬา ฟิตเนส สปา นวดแผนไทย คลินิกเสริมความงาม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม โรงภาพยนตร์ เป็นต้น อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ และสัมผัสเชื้อได้ ดังนั้นความร่วมมือของพี่น้องประชาชนยังเป็นสิ่งจำเป็น ขอเน้นย้ำให้ดูแลสุขภาพของตนเองอย่างเคร่งครัด และทำให้เป็นนิสัย ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือให้สะอาด และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น ไม่นำมือมาสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก และปฏิบัติตามมาตรการข้อกำหนดของสถานที่ที่ใช้บริการเพื่อความปลอดภัย
พญ.พรรณประภา กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การมีมาตรการผ่อนคลาย ก็เพื่อให้ประชาชนผ่อนคลาย มีความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ต้องเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ ก่อนหน้านี้ เราเหมือนดึงชักเย่อสู้กับโควิด เราดึงโดยใช้แรงมาก คือมีมาตรการอื่นๆ เป็นแรงดึงช่วยในการต่อสู้กับโควิด แต่เมื่อเราผ่อนคลายมาตรการจากระยะ 1 เข้าระยะที่ 2 และเข้าระยะที่ 3 การผ่อนคลายก็เหมือนการปล่อยมือ ดังนั้นมือที่เหลืออยู่ ต้องดึงด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น และมือที่เหลืออยู่นี้ ก็คือมือของประชาชนทุกคนที่จะดึงต่อสู้กับโควิด ด้วยการร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เป็นสิ่งที่เราจะร่วมมือกันได้ และผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
May รัตน์ ไอ้พวกที่ติดจากเมืองนอกมา อยกออกอย่าเอามาปรนกับคนไทยที่อยู่ในไทย ติดในไทยสิ มันจะติดยาก ถ้าพวกคุณจะเห็นใจคนไทยทั้งประเทศที่หากินไม่ได้ โดยไม่รับคนที่มาจากต่างประเทศเพิ่มเข้า ไม่หยุด
30 พ.ค. 2563 เวลา 09.17 น.
สรุปว่าตอนนี้ในประเทศแทบจะไม่มี
เลิกงอแงสักทีนะพวกที่อยากเปิดประเทศ
ธุรกิจท่องเที่ยวที่รอต่างชาติ
ก็ควรปรับตัวมาต้อนรับคนไทย
ราคาแพงๆก็ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ถ้าอยากอยู่รอด ก็ต้องปรับตัว อย่างอแงเรียกร้องแต่จะเอาต่างชาติ
เพราะแพงจนคนไทยใช้บริการไม่ได้ใช่รึเปล่า😁
30 พ.ค. 2563 เวลา 08.45 น.
ดูทั้งหมด