Others

MG ผู้อยู่เบื้องหลังในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ไปสู่ระดับโลก ไม่ใช่แค่ผลิตรถยนต์ แต่สร้าง EV Ecosystem ทั้งระบบ

The MATTER
อัพเดต 09 ก.พ. 2565 เวลา 03.51 น. • เผยแพร่ 09 ก.พ. 2565 เวลา 23.30 น. • Branded Content

ตลาดรถยนต์ของไทยในปี 2564 ที่ผ่านมา ภาพรวมยอดขายได้ลดลงจากปีก่อน แต่กลับมีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่สามารถสร้างยอดขายเติบโตขึ้นสวนทางตลาด หนึ่งในนั้นคือแบรนด์รถยนต์อย่าง MG ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ก่อนจะเข้ามาทำการตลาดในไทยจนประสบความสำเร็จ

จากยอดขายรวมกว่า 31,005 คัน หรืออัตราการเติบโต 9.5% ในปี 2564 ของ MG คือสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ปัจจัยจึงไม่ใช่เพียงแค่กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ช่วยกระตุ้นตลาดเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญคือการผลักดันของแบรนด์เอง ที่สามารถดึงจุดเด่นและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะจุดเด่นคือเรื่องของเทคโนโลยีที่้นำมาใช้ให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องของ 'เทคโนโลยี' คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ที่ช่วยผสานคนกับรถให้เป็นหนึ่งเดียว และที่สำคัญคือเรื่องของเทรนด์พลังงานสะอาด กับเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ร่วมกัน ผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ที่กำลังเติบโต

หากมองอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย MG เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับเลือกให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาของ MG ที่ส่งออกไปหลายประเทศทั่วโลก ประกอบกับการให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง รวมทั้งตอบสนองและสนับสนุนมาตรการต่างๆ ของภาครัฐมาโดยตลอด ที่สำคัญ MG ยังเป็นแบรนด์แรกๆ ที่รุกตลาดรถ EV ในไทยอย่างจริงจัง สอดรับกับกระแสเรื่องของพลังงานสะอาดที่กำลังมา ทำให้ MG ไม่ได้ตั้งเป้าแค่การผลิตรถยนต์คุณภาพเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงการสร้าง EV Ecosystem ให้เกิดขึ้นจริงและยั่งยืน เพราะฉะนั้นแล้วผลประโยชน์จึงตกอยู่กับผู้บริโภคที่ใช้รถอย่างเราๆ นี่เอง ลองไปดูกันว่าภายใต้การสร้าง EV Ecosystem ของ MG จะทำให้การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของเราสะดวกสบายขึ้นอย่างไรบ้าง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

มีตัวเลือก EV หลากหลายรุ่น

อย่างที่ทราบกันว่า แม้ตอนนี้ EV จะเริ่มได้รับความนิยมในบ้านเรามากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลือกรุ่นต่างๆ อาจยังมีไม่มากนัก MG จึงตั้งเป้าในการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย เพื่อให้สอดรับกับรูปแบบการใช้งานและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น ที่สำคัญยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ สุดล้ำ อย่างเช่น V2L ที่ทำให้รถยนต์สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นได้ด้วย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจัดการแบตเตอรี่ของรถ EV คือหัวใจสำคัญที่สุดในการใช้งาน เพราะยิ่งแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีราคาที่ถูกลง ก็ยิ่งทำให้คนเปิดใจที่จะเลือกใช้มากขึ้น ล่าสุด MG ได้รับการอนุมัติจาก BOI ในการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อลดการนำเข้า รวมถึงอยู่ในระหว่างการศึกษาและวิจัยในเรื่องของวิธีการจัดการแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เรียกว่าจัดการตั้งแต่เรื่องการใช้งานไปจนถึงปลายทางเลยทีเดียว

เพิ่มสถานีชาร์จให้ครอบคลุม

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาด EV ยังไม่เปิดกว้างเท่าที่ควร คือเรื่องของสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความกังวล MG จึงเร่งสร้างและขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกพร้อมเสริมความมั่นใจในการใช้ EV ได้แบบอุ่นใจ ปลดล็อกความกังวลเรื่องระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง โดยทุกๆ 150 กิโลเมตรจะต้องมีเครือข่ายสถานีชาร์จอย่างน้อย 1 แห่ง เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สร้างความรู้พื้นฐานให้กับคนรุ่นใหม่

การจะสร้าง EV Ecosystem ให้สมบูรณ์ได้ ผู้ใช้งานทุกคนต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นพื้นฐานก่อน MG ได้มองเป้าหมายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่คาดว่าจะเป็นผู้ร่วมกำหนดมาตรฐานใหม่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคตได้ จึงมีแผนที่จะเข้าไปสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่ ในการช่วยผลักดันสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้เกิดขึ้นได้ไวมากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดนี้คือแผนในการสร้าง EV Ecosystem ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริงและยั่งยืน ทำให้ MG คือผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย พร้อมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตทัดเทียมอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้อย่างแน่นอน
Content by Wichapol Polpitakchai
Illustration by Phitsacha Thanawanichnam

ดูข่าวต้นฉบับ