นักวิจัยชาวอิตาเลียนเชื่อภาพวาดจากยุคกลางที่พบในภูมิภาค Puglia ประเทศอิตาลี อันเป็นภาพของ St. Roch นักบุญชาวฝรั่งเศสซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14 คือหลักฐานการระบาดของพยาธิที่ได้รับฉายาว่า“พยาธิมังกรไฟ” (Fiery Serpent) ที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งนี้จากรายงานของ Live Science
พยาธิดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Dracunculus medinensis หรือมักเป็นที่รู้จักกันในชื่อพยาธิกีเนีย (guinea worm) ปัจจุบันระบาดอยู่ในแถบประเทศชาด เอธิโอเปีย มาลี และซูดานใต้ มนุษย์จะติดเชื้อชนิดนี้จากการดื่มน้ำที่มีตัวไรน้ำซึ่งติดเชื้อตัวอ่อนพยาธิชนิดนี้อยู่ หนึ่งปีหลังจากการติดเชื้อ พยาธิจะเติบโตจนมีขนาดยาวได้ถึง 1 เมตร และจะโผล่ตัวออกมาจากผิวหนังในบริเวณอวัยวะท่อนล่างของมนุษย์ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง เพื่อบรรดาอาการเจ็บปวด ผู้ติดเชื้อจะใช้น้ำราดลงไป กระตุ้นให้พยาธิปล่อยไข่ออกสู่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นวงจรชีวิตของพวกมันวนเวียนต่อไป
จากงานวิจัยที่เตรียมเผยแพร่ในวารสาร *Journal of Infection* ฉบับหน้า (เผยแพร่ในปี 2017-กองบก.ออนไลน์) โรคพยาธิกิเนียปรากฎในงานศิลปะเป็นครั้งแรกในภาพประดับแท่นบูชาซึ่งวาดขึ้นโดยศิลปินนิรนามในช่วงศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ Pinacoteca di Brera แกลเลอรีรวบรวมภาพเขียนแห่งหนึ่งในภูมิภาค Puglia ทางตอนใต้ของอิตาลี
ภาพเขียนดังกล่าว เล่าเรื่องราวของSt. Roch ที่พยายามรักษาผู้ติดเชื้อพยาธิชนิดนี้ ก่อนติดเชื้อเสียเอง ศิลปินได้วาดภาพของนักบุญท่านนี้อย่างสมจริง ที่ต้นขาของนักบุญมีรอยแผลบวมแดงในจุดที่พยาธิไชตัวออกมาจากผิวหนังเป็นทางยาวเกือบถึงเข่า
ราฟาเอเล เกตา (Raffaele Gaeta) นักพยาธิวิทยาโบราณ จากมหาวิทยาลัยแห่งปีซา (University of Pisa) กล่าวว่า นักประวัติศาสตร์มักจะเข้าใจผิดคิดว่าภาพดังกล่าวคือน้ำหนองที่ไหลออกมาจากแผลอักเสบ
“ในทางตรงกันข้าม เราเชื่อว่าศิลปินได้แสดงภาพของโรค dracunculiasis ในสมัยโบราณ อันเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งชื่อ Dracunculus medinesis ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในยุคโบราณ” เกตาและคณะอธิบายในงานวิจัยของเขา
โรคดังกล่าวคุกคามชีวิตมนุษย์มานานหลายพันปี ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิชี้ว่า “มังกรไฟ” (fiery serpent) ที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นอสูรที่ทำร้ายชาวอิสราเอลระหว่างการหนีออกจากอียิปต์ก็น่าจะเป็นพยาธิชนิดนี้
“พยาธิชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้เหยื่อต้องทนทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง” เกตากล่าว ก่อนเสริมว่า “พยาธิชนิดนี้อาจได้ชื่อเล่นว่า ‘มังกรไฟ’ ก็เพราะมันทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงขณะที่มันไชตัวออกจากผิวหนัง”
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่า แม้ว่าพยาธิดังกล่าวจะไม่เคยมีการถูกกล่าวถึงในอิตาลีมาก่อน แต่ก็เป็นไปได้ว่าศิลปินนิรนามรายนี้จะได้เห็นพยาธิดังกล่าวจากนักเดินทางบางคนที่เดินทางมาถึงบารี ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับคนที่เดินทางไปมากับดินแดนตะวันออกโดยเฉพาะซีเรีย และปาเลสไตน์
อ่านเพิ่มเติม :
- รู้จักถนน “มังกร 208 ขด” คดเคี้ยวกว่า 200 โค้งบนเขาสูงชันแห่งซินเจียง
- ตำนานพระเจ้าอู่ทองฆ่ามังกร “ปราบโรคระบาด” สร้างอยุธยา?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในระบบออนไลน์เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2562
Liu👒 ดูจากแผลคงทรมานน่าดู หยึ๋ย
13 พ.ค. 2562 เวลา 03.39 น.
จุ๋มจอมแจ่ม "สยอง"ค่ะ,
06 ต.ค. 2563 เวลา 11.01 น.
Pom อวสารอาหารเย็นของข้อย
13 พ.ค. 2562 เวลา 14.28 น.
สมัยนั้นรักษาไม่ได้ละซี พยาธิก็สบายเลย
15 พ.ค. 2564 เวลา 00.17 น.
chatchaiwi เหมือนแผล เป็นฝี แล้ว แตก มากกว่า
14 พ.ค. 2564 เวลา 05.08 น.
ดูทั้งหมด