ตั้งกรรมการสอบ "หมอแอร์" แล้ว

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 62 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีเพจเฟซบุ๊ก หมอแอร์ ว่าที่​ พ.ต.อ.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล นายแพทย์ (สบ4) กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลตำรวจ ได้โพสต์ภาพขณะตั้งครรภ์ โดยบนท้องเขียนข้อความว่า "แม่ครับผมเกิดที่ไมอามี่ได้ไหมครับ?" พร้อมเชิญชวนว่าที่คุณแม่ชาวไทย มาปรึกษาการคลอดลูกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่ออนาคตและโอกาสที่ดีของลูก ปรึกษาฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมีได้มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานต้นสังกัดเอาผิด และรองโฆษก ตร. ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวไปก่อนหน้านี้นั้น ได้รับรายงานจากโรงพยาบาลตำรวจ ว่า

พล.ต.ท.วิฑูรย์ นิติวรางกูร นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้ว จากกรณีการลาไปต่างประเทศเพื่อการคลอดบุตร และนำเสนอ เชิญชวน ผู้ใช้โซเชียลมีเดียของ หมอแอร์ ว่าที่​ พ.ต.อ.หญิง อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล นั้นเป็นการกระทำที่ผิดต่อจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ ระเบียบ วินัย หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นหรือไม่ โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.วีระ จิระวีระ รองนายแพทย์ใหญ่ เป็นประธานคณะกรรมการ ให้รายงานผลก่อนวันที่ 30 พ.ค. นี้ สำหรับประเด็นกรณีที่ ว่าที่ พ.ต.อ.หญิง อัญชุลี เคยถูกดำเนินการทางวินัยในเรื่องใช้เวลาราชการไปทำกิจส่วนตัวนั้น ทางโรงพยาบาลตำรวจได้มีการลงโทษภาคทัณฑ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า เรียนวิงวอนพี่น้องประชาชนได้โปรดรับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากทีมงานโฆษก ตร. ซึ่งจะรายงานความคืบหน้าให้เป็นที่กระจ่างแก่สังคม และขอเรียนอีกครั้งว่า การกระทำดังกล่าวของหมอแอร์นั้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไปดำเนินการเอง ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือองค์กรแต่อย่างใด ซึ่งหากพบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด ก็จะมีการดำเนินการทางวินัยในเรื่องที่เกิดขึ้น โดยตำรวจทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้ระเบียบวินัยของข้าราชการตำรวจ ไม่เว้นแม้กระทั่ง แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจชาติได้มีการเน้นย้ำความประพฤติและพฤติกรรมของข้าราชการตำรวจมาโดยตลอด โดยมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับ กำชับ กวดขัน สอดส่อง ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเรื่องจริยธรรมและการประพฤติตนของข้าราชการตำรวจที่ต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือของประชาชน มีจรรยาบรรณและกระทำตามภายใต้กรอบของกฎหมายเป็นสำคัญ สำหรับกรณีนี้ จะเหมาะสมหรือไม่อย่างไรนั้น คงต้องรอผลการตรวจสอบและการรวบรวมข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการ หากพบว่าเป็นความผิดก็จะมีการดำเนินการทางวินัยตามระเบียบต่อไป