ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัล-คานัน วัยรุ่นสาวชาวซาอุดีอาระเบีย วัย 18 ปี ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยและเดินทางถึงเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดาแล้วเมื่อวันที่ 12 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น
ความสำเร็จในการขอลี้ภัยจากสภาพแวดล้อมในประเทศบ้านเกิดที่มีแนวคิดมุสลิมอนุรักษนิยมสุดโต่งของราฮาฟนั้นเป็นผลมาจากการใช้พลังของสื่อสังคมออนไลน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทวีตข้อความผ่าน “ทวิตเตอร์” ที่ทำให้เธอได้เสียงสนับสนุนผ่านแฮชแท็ก #SafeRahaf ที่เรียกร้องให้มีการช่วยเหลือหญิงสาวชาวซาอุดีอาระเบียผู้นี้จากทั่วโลก
ชะตากรรมของราฮาฟเริ่มต้นขึ้นเมื่อข้อความขอความช่วยเหลือจากห้องพักที่สนามบินสุวรรณภูมิของไทยถูกทวีตผ่านบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยข้อความดังกล่าวถูกแชร์ไปเป็นวงกว้าง สร้างความสนใจไปทั่วโลก
“ฉันไม่สามารถเรียนและทำงานได้ในประเทศของฉัน ดังนั้น ฉันต้องการเป็นอิสระ ได้เรียนและทำงานอย่างที่ต้องการ” ราฮาฟระบุ
ราฮาฟเล่าด้วยว่า หากเธอต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว เธออาจจะถึงขั้นถูกฆ่า
และว่า เธอเคยถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจจากครอบครัวของเธอ
ยกตัวอย่างเช่น การถูกขังอยู่ในห้องเป็นเวลานานถึง 6 เดือน เพื่อลงโทษที่เธอเพียงแค่ “ไปตัดผม” เท่านั้น
นอกจากนี้ การประกาศละทิ้งศาสนาอิสลามของราฮาฟ อาจทำให้เธอต้องถูกดำเนินคดีหากถูกส่งตัวกลับไปยังซาอุดีอาระเบียอีกด้วย
ชะตากรรมของราฮาฟ เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงชะตากรรมของผู้หญิงในซาอุดีอาระเบีย ที่ต้องถูกจำกัดสิทธิภายใต้กฎที่ว่าผู้หญิงจำเป็นต้องมี “ผู้พิทักษ์” ที่เป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่-น้องผู้ชาย หรือญาติผู้ชาย ในการอนุญาตให้ทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหนังสือ การทำเอกสารทางราชการทั้งบัตรประชาชน การขอหนังสือเดินทาง การแต่งงาน หรือแม้แต่เข้ารับการรักษาทางการแพทย์
แม้รัฐบาลภายใต้การนำของมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ผู้ที่เวลานี้มีอำนาจสูงสุดอย่างโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน จะดำเนินนโยบาย “ปฏิรูป” เพื่อให้ซาอุดีอาระเบียมีความเป็นสากลมากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือการเปิดทางให้ผู้หญิงสามารถขับรถได้แล้วก็ตาม
ทว่าภายในประเทศซาอุดีอาระเบียเองก็ไม่ได้มีผู้หญิงออกมาขับรถมากขึ้นเท่าใดนักเนื่องจากกฎเรื่องผู้พิทักษ์ที่ยังคงเคร่งครัด
สํานักข่าวบีบีซีไทยเปิดเผยเรื่องราวของผู้ลี้ภัยหญิงสาวชาวซาอุฯ วัย 24 ปีอีกรายที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เล่าถึงประสบการณ์ในการหนีออกจากประเทศพร้อมกับน้องสาววัย 19 ที่สะท้อนให้เห็นชีวิตที่ยากลำบากของผู้หญิงในซาอุดีอาระเบียเช่นกัน
เรื่องราวของ “ซัลวา” ชาวซาอุดีอาระเบียบถูกเล่าผ่านรายการวิทยุเวิลด์เซอร์วิส ระบุว่าเธอต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานถึง 6 เดือน และด้วยความโชคดีที่เธอมีบัตรประชาชนและหนังสือเดินทางที่ครอบครัวอนุญาตให้ทำแล้วจากการที่ต้องใช้ในการเรียนและสอบภาษาอังกฤษก่อนหน้านี้
ซัลวาเล่าว่า เธอจำเป็นต้องแอบปั๊มกุญแจเพื่อเอาหนังสือเดินทางที่ครอบครัวเก็บเอาไว้เพื่อใช้เดินทางออกนอกประเทศ และแอบใช้โทรศัพท์มือถือของพ่อในการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ลงทะเบียนในเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย จากของพ่อเป็นของตัวเองเพื่อทำเรื่องอนุญาตให้ตัวเองสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
ซัลวาและน้องสาวแอบขึ้นแท็กซี่ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเป็นโชเฟอร์ แอบไปยังสนามบินในตอนกลางคืนก่อนเดินทางไปยังประเทศเยอรมนีเพื่อขอสิทธิลี้ภัยได้สำเร็จโดยเลือกที่จะไปอาศัยที่ประเทศแคนาดา
ซัลวาเล่าว่า ชีวิตในซาอุดีอาระเบียนั้นเธอมีเพียงแค่ “บ้าน” และ “มหาวิทยาลัย” เท่านั้น เธอยังถูกบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่ต้องการสารพัด ขณะที่ชีวิตในแคนาดาแม้จะมีเงินน้อยกว่า แต่ก็มีความสุข มีอิสระอยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ อยากใส่ชุดอะไรที่อยากใส่ และรู้สึกเหมือนได้มีชีวิตที่แท้จริง
สำหรับกระแสในโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ “บันดาร์” นักศึกษาแพทย์ชาวซาอุดีอาระเบียรายหนึ่ง ระบุว่ากฎเรื่องผู้พิทักษ์นั้นให้สิทธิผู้ชายอย่างมากมายเหนือตัวของผู้หญิง
“พวกเขาสามารถทุบตี ทำร้ายร่างกาย สั่งให้ทำสิ่งที่ต้องการ และไม่มีหน่วยงานไหนที่จะหยุดสิ่งนี้ได้” บันดาร์ระบุ และว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงซาอุฯ ส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านที่เกิดและเติบโตขึ้นมา
ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น กระแสจากผู้ชายในโลกออนไลน์ ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงซาอุฯ เช่นกันเกิดเป็นกระแส “เลิกกฎผู้พิทักษ์ หรือไม่เราก็อพยพไปให้หมด” ขึ้นด้วย
ทว่าก็ยังคงมีชาวซาอุฯ อีกจำนวนมากที่ยังคงเห็นว่า แนวคิดอนุรักษนิยมอิสลามดังกล่าวยังคงมีส่วนสำคัญในระเบียบของสังคม และโทษว่าหญิงวัยรุ่นเหล่านั้นเองที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว
คงต้องติดตามดูต่อไปว่าสังคมซาอุดีอาระเบียจะสามารถปฏิรูปไปพร้อมๆ กับแผนปฏิรูปเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ในโครงการ “วิชั่น 2030” ของผู้นำซาอุดีอาระเบียได้หรือไม่ ท่ามกลางภาพลักษณ์ของประเทศที่ยังคงย่ำแย่ หลังการฆาตกรรมโหดนายจามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่สถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา
Tandy สถานที่ ที่ UNHCR ควรไปตั้งสำนักงานใหญ่และลงมือแก้ไขปัญหาสิทธิ อย่างเป็นรูปธรรม ทำที่นี่ให้ชาวโลกเห็นก่อน แล้วค่อยหาเวลามาระรานประเทศเล็กๆแถวนี้
21 ม.ค. 2562 เวลา 13.01 น.
ดูทั้งหมด