ชายหนุ่มคนหนึ่งมาขอเข้ารับคำปรึกษาด้วยสาเหตุว่าเขาสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคกลัวสังคม (Social phobia)
“อะไรที่ทำให้คิดว่าตัวเองเป็นโรคกลัวสังคม (Social phobia) ?”
“ผมไม่กล้าสบตาคน เวลาพูดกับใครก็ต้องก้มหน้า ไม่กล้าออกงานสังคมคนเดียวต้องหาคนไปเป็นเพื่อน อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตแล้วคล้ายกับโรคกลัวสังคมเลยมาพบหมอครับ”
หมอฟังแล้วก็แอบชื่นชมในใจนะคะที่รู้สึกว่าอยากปรับตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อให้มีความชัดเจน หมอจึงต้องถามเจาะลงในรายละเอียดค่ะว่า
อาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
อะไรคือจุดที่ตัดสินใจมาพบหมอ?
เพราะอะไรไม่กล้าไปงานสังคมคนเดียว ?
แล้วเป็นกับใครที่ไหนบ้าง?
“ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความกลัวไม่กล้าสบตาคนอื่นตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น แต่ถ้าเริ่มคุ้นเคยหรือสนิทกันจะไม่เป็น ผมจึงเลือกเรียนและทำงานเป็นช่างซ่อมรถในอู่เพื่อไม่ต้องอยู่กับคนมาก แต่ตอนนี้ผมมีความคิดอยากเปิดอู่เป็นของตัวเอง จำเป็นต้องคุยกับลูกค้าแต่ถ้าผมยังไม่กล้ามองหน้า เลยคิดว่าต่อไปมันน่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญ เวลาออกสังคมที่ต้องมีคนไปด้วยเพราะผมกลัวว่าถ้าตัวเองพูดไม่ถูกหรือตื่นเต้น คนที่ไปด้วยจะได้ช่วยสื่อสารให้”
ในกรณีแบบนี้มีปัญหาใหญ่อยู่สองอย่างคือ ความไม่มั่นใจในตัวเอง (Low self esteem) และเป็นโรคกลัวสังคม (Social phobia) จริง! แต่ความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเป็นทุนที่ทำให้ความรู้สึกกลัวเพิ่มมากขึ้น
ทุกคนมีความกลัวและความไม่มั่นใจเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อไรก็ตามที่ความกลัวนั้นเริ่มมีมาก (ขนาดเลือกเรียนช่างเพื่อหลีกเลี่ยงการเจอคน) ความกลัวเริ่มเป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน (ออกสังคมคนเดียวไม่ได้ ไม่กล้าคุยกับลูกค้าทั้งที่เป็นเจ้าของอู่) รู้ว่าความกลัวทั้งหมดนี้ช่างไม่สมเหตุสมผล และเป็นมามากกว่า 6 เดือน (คนนี้เป็นมาเกือบสิบปี) ดังนั้นผู้ชายคนนี้เข้าข่ายโรคกลัวสังคมค่ะ
โรคกลัวสังคมเราจะพบได้ ร้อยละ 2-3 โดยเพศชายพบมากกว่าเพศหญิงและมักเริ่มเป็นในช่วงวัยรุ่น
การรักษา เราไม่มียาที่รักษาเรื่องนี้โดยตรง ถ้าจำเป็นส่วนมากจะเป็นการให้ยาเพื่อประคับประคองอาการ เช่น ถ้าตื่นเต้นมาก หรือคิดกังวลกับความกลัวมากจนควบคุมความคิดและร่างกายตัวเองไม่ได้
การรักษาหลักจะเป็นการฝึกเรื่องการสร้างความมั่นใจในตัวเอง ปรับเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเรื่องที่กลัวและการเผชิญกับสิ่งที่กลัว โดยเราเองก็เริ่มต้นดูแลความกลัวด้วยตัวเองเบื้องต้นได้
5 ขั้นตอนในการกำจัดความกลัวคือ
- 1. เขียนสิ่งที่กลัวออกมาให้ชัด
- 2. เขียนสิ่งที่เราพอจะจัดการได้ และสิ่งที่เราจัดการไม่ได้
- 3. คิดถึงและยอมรับสิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้น
- 4. ลงมือทำสิ่งที่ควรทำ และเผชิญสิ่งที่กลัว
- 5. ทบทวนสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นในชีวิตเราเป็นประจำทุกวัน
“ทุกคนมีความกลัว แต่เราจะดูแลความกลัวอย่างไรไม่ให้ขัดขวางความสุขและความสำเร็จ ชีวิตกลัวได้ ก็ไม่กลัวได้เช่นกัน”
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก หมอเอิ้น พิยะดา ได้ทุกวันพุธ บนLINE TODAY
อาการเช่นนี้มันก็เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกันครับ ในตอนที่ผมเรียนจบจากมัธยมต้นใหม่ๆ แต่ผมก็ยังโชคดีก็ตรงที่ว่าผมมีเพื่อนที่คอยให้คำแนะนำกับผมว่า อันดับแรกเลยผมควรที่จะต้องตัดความกังวลและต้องมีความกล้าที่จะเปิดใจยอมรับกับในความเป็นจริงให้ได้ก่อนเท่านั้นเองครับ.
01 ก.ค. 2563 เวลา 12.10 น.
RED อดีตคงมีแต่ปัญหา คิดว่าเป็นปมด้อย แต่ถ้าเข้าใจชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้ แล้วแต่ใครเข้าใจและผ่านไปได้ ถ้าผ่านใด้ก็ชนะ
02 ก.ค. 2563 เวลา 12.54 น.
สุกิติ์ เล่นกีฬา แบบเป็นทีมช่วยได้เช่นฟุตบอล,บาส ผมก็เคยเป็น
02 ก.ค. 2563 เวลา 11.26 น.
Withan มึงบ่นอะไรของมึงเล็ก ถุย! มึงมันไม่มีมารยาท ไม่รู้จักกาละ และ เทศะไม่ใช่มึงกล้าแสดงออกหรือโอ้อิฉันเป็นฝรั่งหรืออะไร อี๒ตัวนี้มึงงัดออกมาได้เลย ไอเรื่องนี้แบบนี้ใช่มั๊ย ที่จะให้กู"นิรโทษกรรม".โอ้ ไอแอ๊ดผูยิ่งใหญ่ ฟัก สบายใจได้แล้วนะคุณเล็กและภรรยา อย่างว่าสัตว์นรก แรดหนังหนา พูดจาภาษาดอกไม้ภาษาสีสันก็ไม่มีประโยชน์ ก็อี๒แม่ลูกนี่ แม่งเดินหว่างขาแฉะมาเลยอีเงี่ยง มาหากู! อีหน้าด้าน ไม่พูดซ้ำอีกต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว กูได้รับคำตอบแล้วเล็ก มึงหลบไป
02 ก.ค. 2563 เวลา 11.52 น.
ประสาทกลับ
02 ก.ค. 2563 เวลา 13.02 น.
ดูทั้งหมด