ภาค 8 กวาดล้างต่างชาติ ตั้งนอมินี ผุดวิลล่าตากอากาศ อึ้งพบตั้งนิติบุคคลซ้อน แยกซื้อที่ดิน-สร้างบ้านตากอากาศเลี่ยงภาษีจ่อขยายผล ภูเก็ต พังงา กระบี่
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุมศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิต ผบช.ภ.8 พร้อม พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.ศิริชัย สุขศาตต์ พ.ต.อ.ไพศาล สังข์เทพ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ ร่มไทร รอง ผกก.สอบสวน สภ.กาญจนดิษฐ์ ช่วยราชการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย (ศปชก.) ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ร่วมแถลงผลการปฏิบัติงานการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในพื้นที่ สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย หลังสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานสามารถดำเนินคดีอาญาได้ จำนวน 8 คดี ประกอบด้วย บริษัทนอมินี จำนวน 8 บริษัท , สำนักงานกฎหมาย 2 ราย, ชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 16 ราย ในความผิดร่วมกันกระทำผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
พล.ต.ท.สุรพงษ์เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดของคนต่างด้าว เช่น การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522, การทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตลอดจนการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ที่มีคนต่างด้าวเป็นผู้กระทำผิด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เทศบาลนครเกาะสมุย ร่วมกับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจพบมีการก่อสร้างอาคารบนพื้นที่เขาสูง จำนวน 15 แปลง เชื่อว่าเป็นการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย ให้ดำเนินคดีกับบริษัท วิลล่า อะมาน่า จำกัด, บริษัท ซีบรีซ วัน จำกัด, บริษัท ซีบรีซ ทู จำกัด, บริษัท เอสทีเค.ไอเอ็นวี.จำกัด, บริษัท สกายไลน์ วิว จำกัด, บริษัท ร็อค โซล แอนด์ วิว จำกัด และบริษัทอื่นๆ ที่ก่อสร้างอาคารบนที่ดินดังกล่าว ในความผิด ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
พล.ต.ท.สุรพงษ์กล่าวว่า พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานีในฐานะผอ.ศปชก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พ.ต.อ.ศิริชัย สุขศาตต์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี เป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า บริษัทที่ถูกกล่าวหาอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเปิดบริษัทโดยใช้คนไทยถือหุ้นแทน (คดีนอมินี)
“จากการสืบสวนพบว่า นายโฮลเกอร์ แอส สัญชาติเยอรมัน เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อปี 2554 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ต่อมาได้จัดตั้งบริษัทนิติบุคคลและทำธุรกิจวิลล่าให้เช่าโดยมีลูกจ้างคนไทย 5 คน และในปี 2558 ได้จัดตั้งบริษัทนิติบุคคล 2 บริษัทโดยใช้คนไทยที่เคยเป็นคนงานในวิลล่าเป็นกรรมการบริษัท จัดซื้อที่ดินบนเขาเฉวงน้อย ต.บ่อผุด เนื้อที่ 10 ไร่ ก่อสร้างวิลล่าขายให้กับลูกค้าชาวต่างประเทศชื่อโครงการ “ซีบรีซ” และแบ่งแยกที่ดินตามวิลล่าที่สร้างในชื่อบริษัทนอมินี” (ตั้งนอมินีบริษัทนิติบุคคล ซ้อนนอมินีนิติบุคคล) พล.ต.ท.สุรพงษ์กล่าว
พล.ต.ท.สุรพงษ์กล่าวอีกว่า นายโฮลเกอร์ รับโอนที่ดินที่แบ่งแยก ได้แก่ บริษัท วิลล่า อะมาน่า จำกัด, บริษัท สกายไลน์ วิว จำกัด, บริษัท ซีบรีซ วัน จำกัด, บริษัท สกายไลน์ วิว จำกัด, บริษัท ร็อค โซล แอนด์ วิว จำกัด โครงการดังกล่าวได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคาร จำนวน 19 หลัง ปัจจุบันสร้างเสร็จมีผู้อยู่อาศัยแล้ว 13 หลัง จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า การขายวิลล่าทั้ง 13 หลัง มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยหลังละ 30 ล้านบาท แต่กลุ่มบริษัทนายโฮลเกอร์ ใช้วิธีเพิ่มหุ้นส่วนในบริษัทนิติบุคคลสัญชาติไทยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงภาษี และไม่ต้องทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน ซึ่งการทำธุรกิจของนายโฮลเกอร์ มีสำนักงานกฎหมายคอยให้การช่วยเหลือและแนะนำ
“ขั้นตอนการดำเนินคดีจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปกครองท้องถิ่น สำนักงานที่ดินจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กองทัพภาคที่ 4 และสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากมีกฎหมายในหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันระหว่างที่มีการรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินคดีจะส่งเรื่องให้ทางสรรพากร ดำเนินการเกี่ยวกับภาษีบุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล และภาษีการซื้อขาย พร้อมส่งเรื่องให้สำนักงานที่ดิน ดำเนินการเกี่ยวกับที่ดิน รวมถึงการส่งเรื่องให้ฝ่ายปกครอง ดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทนิติบุคคลที่ถูกดำเนินคดีด้วย” พล.ต.ท.สุรพงษ์กล่าว
พล.ต.ท.สุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจภูธรภาค 8 จะนำรูปแบบการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีนอมินีกับบริษัทนิติบุคคล ของ ศปชก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ไปขยายผลในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งที่ จ.ภูเก็ต พังงา และ จ.กระบี่ เนื่องจากล่าสุดพบว่าในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของตำรวจภูธรภาค 8 มีปัญหาลักษณะเดียวกัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยอมรับว่าที่ผ่านมาปัญหาการเข้าถือครองที่ดินและการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าว ด้านการท่องเที่ยวทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาส สูญเสียรายได้ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ท้องถิ่นเป็นเจ้าของพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวกลับได้รับผลประโยชน์น้อยมาก หลังจากนี้การทำงานของตำรวจจะบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยับยั้งการก่อเหตุอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
ด้าน พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ร่มไทร รอง ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ ช่วยราชการพนักงานสอบสวน ศป.กล่าวว่า กรณีนางแคทเธอรีน อายุ 59 ปี นักธุรกิจชาวฝรั่งเศสเจ้าของวิลล่าตากอากาศบนเกาะสมุย ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้นางณัฐวลัย หรือป้าติ๋ม อายุ 49 ปี คนรับใช้ มูลค่า 100 ล้านบาท พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีบริษัทนิติบุคคล รวมทั้งนางแคทเธอรีน ตามความผิด พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าว พ.ศ.2542 นั้น ตำรวจได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษบริษัทนิติบุคคลไปแล้ว
“หากศาลมีคำพิพากษา ว่าเป็นการจัดตั้งบริษัทนิติบุคคลโดยผิดกฎหมาย ศาลก็จะมีคำสั่งให้จำหน่ายทรัพย์ของนิติบุคคลออกไปแล้วนำเงินสดกลับคืนสู่หุ้นส่วน ซึ่งคดีนี้มีนอมินีคนไทยทั้ง 2 คน จึงไม่มีสิทธิได้รับแบ่งผลประโยชน์ตามอัตราหุ้น ดังนั้น เงินสดที่ได้จากการขายทอดทรัพย์สิน จะต้องตกไปเป็นของนางแคทเธอรีนทั้งหมด ฉะนั้นจะต้องไปดูในส่วนของพินัยกรรมว่า จะครอบคลุมถึงเงินสดที่ได้จากการขายทรัพย์สินหรือไม่” พ.ต.ท.ณัฐพงศ์กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้มีคดีเกี่ยวกับนอมินีที่จัดตั้งบริษัทนิติบุคคลโดยใช้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย บนเกาะสมุย รวมแล้ว 10 คดี ที่ สภ.เกาะสมุย เป็นคดีของนางแคทเธอรีน ชาวฝรั่งเศส จำนวน 2 คดี ประกอบด้วยบริษัท 2 บริษัท, ชาวต่างชาติ (นางแคทเธอรีน) 1 ราย และคนไทย 2 คน (นอมินี) และ สภ.บ่อผุด เป็นคดีของนายโฮลเกอร์ แอส ชาวเยอรมัน จำนวน 8 คดี ประกอบด้วย บริษัทนอมินี 8 บริษัท, สำนักงานกฎหมาย 2 ราย, ชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 16 ราย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาค 8 กวาดล้างต่างชาติ ตั้งนอมินี ผุดวิลล่าตากอากาศบนเกาะสมุย จ่อขยายผล ภูเก็ต พังงา กระบี่
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th