In focus
- “กินยาเยอะทำให้ไตวาย” ยังขาดเครื่องหมายดอกจันตรงคำว่า “ยา*” แล้วตามด้วยคำอธิบายที่ต้องเพ่งสายตาอ่านว่า “*หมายถึงยาบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบแก้ปวดเมื่อย หรือหมายถึงการกินยาผิด ทำให้ได้รับยาเกินขนาดจนเป็นอันตรายต่อไต” ดังนั้นการกินยาภายใต้การดูแลและการตรวจติดตามของหมอจึงมีโอกาสไตวายต่ำ
- หมอมักใช้คำพูดนี้ขู่คนไข้ 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) คนไข้ที่ขอรับยาโดยไม่จำเป็น (2) คนไข้ที่กินยาแก้อักเสบติดต่อกันนาน และ (3) คนไข้โรคเรื้อรังที่ยังคุมไม่ได้ถึงแม้จะกินยาหลายตัว เพราะต้องการให้คนไข้กินยาเฉพาะที่จำเป็น ไม่ต้องการให้กินยาที่เป็นพิษต่อไตต่อเนื่องกัน และต้องการให้คนไข้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแทนการปรับเพิ่มยาขึ้น
- หมอจึงอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนไข้โรคเรื้อรัง จนเกิดความกลัวและหันไปกินยาทางเลือกที่โฆษณาว่า “ไม่ทำให้ไตวาย” เช่น สมุนไพรที่ยังไม่มีการศึกษาขนาดที่เหมาะสม โดยเฉพาะในคนไข้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงสร้างความลำบากให้กับหมอเองในภายหลัง เพราะคนไข้ไม่มั่นใจในการเพิ่มหรือลดยาของหมอ
“นี่หมอหลอกผมมาเกือบปีเลยเหรอ” ผมเดาไม่ถูกเหมือนกันว่าคนไข้พูดทีเล่นทีจริง หรือมีความผิดหวังอยู่ในน้ำเสียงมากน้อยแค่ไหน แต่วันนั้นผมก็ได้อธิบายให้คนไข้ฟังอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยอธิบายเรื่อง “กินยาเยอะทำให้ไตวาย” ให้กับคนไข้ฟังมา
เขาเป็นคนไข้ผู้ชายวัยกลางคน อายุ 30 กว่าปี แต่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมาประมาณ 2 ปีแล้ว คุณพ่อของเขาก็เป็นเบาหวาน และมีโรคไตวายเรื้อรังแทรกซ้อน
1 ปีแรกของการรักษา คนไข้ได้รับการจ่ายยาลดระดับน้ำตาลในเลือด จากตัวเดียว เพิ่มยาเป็น 2 ตัว ปรับเพิ่มขนาดยาทั้ง 2 ตัวจนถึงขนาดสูงสุดก็ยังคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ จนกระทั่งได้รับยาเป็นตัวที่ 3 ซึ่งถือว่าเต็มที่แล้วสำหรับการรักษาด้วยยาเบาหวานชนิดกินที่ รพ.ชุมชน ระดับน้ำตาลก็ยังไม่ลดถึงระดับเป้าหมาย
หมอท่านอื่นจึงได้เริ่มยาอินซูลินฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังเช้า-เย็น ซึ่งถือเป็นการรักษาที่ต้นเหตุมากที่สุด ในเมื่อโรคเบาหวานเกิดจากปริมาณอินซูลินไม่เพียงพอ ก็ต้องฉีดทดแทนเข้าไป แต่วิธีการใช้ยาค่อนข้างยาก และต้องทนเจ็บตัวทุกครั้งที่ฉีด หมอจึงเก็บไว้เป็น “ท่าไม้ตาย” หรือยาขนานสุดท้ายในการรักษา
ทว่าในวันนั้นเป็นอย่างไร ผมก็ไม่อาจทราบได้ คนไข้ตกลงที่จะรักษาด้วยการฉีดยา (ปรบมือ)
เวลาผ่านไป คนไข้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้มากขึ้น ทั้งคุมอาหารได้ดีขึ้นและออกกำลังกายเป็นประจำ ระดับน้ำตาลในเลือด 2 ครั้งล่าสุดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และเขายังเล่าให้ผมฟังอีกว่าในระยะหลังมานี้เริ่มมีอาการใจสั่น เหงื่อแตกจากภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย
ผมจึงเสนอคนไข้ว่า “ถ้าอย่างนั้นลองหยุดยาฉีดดูไหมครับ”
“อ่าว!” คนไข้ตกใจ “ยาฉีดไม่ได้ดีกว่ายากินเหรอครับ”
“ยาแต่ละแบบมีทั้งข้อดีข้อเสีย” ผมพยักหน้ายอมรับว่ายาฉีดมีประสิทธิภาพดีกว่ายากินก็จริง แต่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำง่ายกว่าหากกินข้าวไม่ตรงเวลาหรือกินไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่ยากินสามารถใช้ได้สะดวกกว่า ทั้งในแง่การกินและการเก็บยา พกติดตัวออกไปทำงานด้วยง่าย
“หมอก็เลยจะลดยาฉีดคนไข้ลง ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ในปริมาณที่เยอะอยู่แล้วก็น่าจะหยุดไปได้เลย”
“เอ๊ะ!” คนไข้สงสัย “แล้วที่หมอคนก่อนเขาบอกผมว่ากินยาเยอะแล้วจะทำให้ไตวายล่ะครับ”
.
ท่านผู้อ่านคิดเหมือนกับเขาไหมครับ
.
ทุกทีผมจะมีคำตอบสั้นๆ ที่เตรียมไว้สำหรับคำถามนี้อยู่แล้ว เพราะคนไข้คนนี้ไม่ใช่รายแรกที่สงสัยเช่นนี้ บ่อยครั้งที่คนไข้โรคความดันโลหิตสูงไม่ยอมให้ผมปรับยาขึ้น เพราะกลัวไตวาย บ่อยครั้งที่คนไข้เบาหวานหยุดยาเอง เพราะกลัวไตวาย (และหันไปกินยาสมุนไพรแทน)
แต่เนื่องจากผมกำลังเตรียมเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี และเห็นว่าคนไข้ยังหนุ่ม น่าจะยังพอคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เลยทดลองอธิบายให้คนไข้ฟังอีกแบบว่า…
ผมสังเกตตัวเองและหมอคนอื่นมักจะใช้ประโยคที่ว่า “กินยาเยอะทำให้ไตวาย” ขู่ให้คนไข้ 3 กลุ่ม (เท่าที่ผมนึกออก) กลัวการกินยาเยอะๆ ได้แก่
คนไข้โรคทั่วไปที่ขอยาจากหมอทั้งที่ไม่จำเป็นต้องกิน อาจเป็นโรคที่สามารถหายเองได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นช่วงหนึ่ง เป็นโรคที่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน หรือเป็นโรคที่คนไข้ยังไม่มีอาการ แต่พอมา รพ.แล้วก็ถือโอกาสขอยารักษาอาการนั้นๆ ด้วย ทำนองว่า “ขอยา…ด้วยนะหมอ” “ขอยา…ติดไปหน่อยสิ” ซึ่งหมอก็อาจตัดรำคาญหรือไม่ต้องการอธิบายเหตุผลยืดยาวด้วยการขู่คนไข้ว่า “กินยาเยอะๆ ไม่กลัวไตวายเหรอ”
คนไข้โรคปวดกล้ามเนื้อที่ซื้อยาแก้ปวดกินเอง ส่วนมากมักเป็นยาชุดที่มียาแก้อักเสบ (NSAID) หลายตัวรวมกันอยู่ ซึ่งการกินยากลุ่มนี้ในปริมาณมากและต่อเนื่องกันนานทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้ ยิ่งถ้าคนไข้กินยาสมุนไพรด้วยก็จะทำให้เกิดไตวายง่ายขึ้น หมอเลยต้องเตือนคนไข้ว่า “ไม่ควรกินยาแก้อักเสบติดต่อกันหลายวัน เพราะจะทำให้ไตวายได้” ในขณะที่วิธีการรักษาอาการปวดเรื้อรังควรหยุดพักการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวด และทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย
ส่วนกลุ่มสุดท้ายซึ่งใกล้ตัวกับคนไข้รายนี้มากที่สุด และผมก็ยกตัวอย่างถึงกรณีนี้กรณีเดียวให้เขาฟังคือ 3. คนไข้โรคเรื้อรังที่กินยาอยู่เยอะมาก แต่ก็คุมความดันฯ หรือระดับน้ำตาลไม่ได้ เพราะยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียที ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงโรคไตเรื้อรัง (จากโรคเดิมที่คุมไม่ได้ ไม่ใช่จากยา) หมอก็ต้องเป็นฝ่ายปรับยาขึ้นเรื่อยๆ ให้ควบคุมโรคให้ได้แทน
ซึ่งการกินยาเยอะก็ส่งผลเสียหลายอย่างตามมา อาทิ การกินยาผิดวิธีหรือผิดขนาดเพราะผู้ป่วยจำยาผิด การเกิดผลข้างเคียงจากยาบางคู่ที่เสริมหรือหักล้างฤทธิ์กัน ที่สำคัญคือความร่วมมือในการใช้ยาจะลดลง ถึงหมอเพิ่มยาให้ไป คนไข้ก็อาจกินไม่ครบ เพราะผู้ป่วยบางคนถึงกับบ่นว่า “แค่กินยาอย่างเดียวก็อิ่ม (จนไม่ต้องกินข้าว) แล้ว” ทำให้หมอต้องขู่คนไข้ก่อนว่า “ถ้ายังกินยาเยอะอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยโรคไตจะถามหา”
โดยเจตนาของหมอก็คือต้องการให้คนไข้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อจะได้ลดจำนวนยาที่กินลงนั่นเอง
ส่วนความกังวลที่ว่าการกินยาหลายตัวทำให้ไตทำงานหนักขึ้นก็จริง แต่การกินยาในขนาดที่เหมาะสมไม่เป็นอันตรายต่อไตแต่อย่างใด และหมอยังมีการนัดตรวจติดตามค่าไตเป็นประจำ หากค่าการทำงานของไตลดลง หมอก็จะหยุดหรือปรับยาให้เหมาะสมกับระยะของโรคไตเรื้อรังอีกทีหนึ่ง ตรงกันข้ามถ้าหากควบคุมความดันฯ หรือระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ตามเกณฑ์ต่างหากจะส่งผลให้ไตวายเร็วขึ้นอย่างแน่นอน
การที่คนไข้สงสัยเช่นนี้ก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าตอนนั้นคนไข้คงโดนหมอขู่จนกลัวเป็นโรคไต ก็เลยยอมฉีดยามาตลอด ด้วยความเข้าใจผิดว่าจะเป็นโรคไตจากการกินยาเยอะ แทนที่จะเป็นจากโรคเบาหวานเอง
.
“นี่ผมถูกหมอหลอกมาเกือบปีเลยเหรอ” คนไข้คงผิดหวังด้วยจริงๆ นั่นแหละ แต่จะให้ผมสารภาพว่า ‘หลอก’ คงรับได้ไม่เต็มปาก เพราะคำพูดที่ว่า “กินยาเยอะทำให้ไตวาย” ก็เหมือนกับข้อเท็จจริงอื่นในทางการแพทย์ที่มักจะมีข้อยกเว้นเสมอ เพียงแต่หมอคนแรกไม่ได้พูดเท่านั้น และอีกอย่างก็เป็นเจตนาดีของหมอที่ไม่อยากให้คนไข้ต้องกินเยอะ
ทว่าก็ทำให้คนไข้หลายต่อหลายคนเหมารวมไปว่ายาทุกตัวทำให้ไตวาย ซึ่งในท้ายที่สุดความหวังดีนั้นก็ย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับหมอเอง โดยเฉพาะคนไข้รายอื่นที่กลัวอันตรายจากยาที่หมอจ่ายให้จนหันไปกินยาทางเลือกอื่นตามโฆษณา แล้วกลับมาด้วยภาวะไตวายมากขึ้น
สำหรับคนไข้รายนี้ เขายังยืนยันกับผมว่าต้องการใช้ยาฉีดอินซูลินต่อ ซึ่งผมได้ถามถึงกิจวัตรและการทำงานในแต่ละวันแล้วก็เห็นด้วยว่าคนไข้รายนี้สามารถใช้ยาฉีดต่อได้โดยไม่น่ามีผลข้างเคียงจากการใช้ยาอย่างที่ผมกังวลแทน “ถ้าคนไข้ยังสะดวกใช้ยาฉีด เดี๋ยวหมอจะลดยากินลงให้แทนครับ”
“แต่การลดยากินลงครั้งนี้
ไม่ได้เกี่ยวกับกินยาเยอะจะทำให้ไตวายนะครับ
เพียงแต่ระดับน้ำตาลของคนไข้ดีขึ้นแล้ว” ผมเน้นย้ำ
เอกสารประกอบการเขียน
– ประเสริฐ ธนกิจจารุ. สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย. [ออนไลน์]. 2558. แหล่งที่มา: http://www.dms.moph.go.th/dmsweb/dmsweb_v2_2/content/org/webpageJDMS_30/demo/data/2558/2558-05/no.5_01.pdf
– ปวีณา สุสัณฐิตพงษ์ การวินิจฉัยและรักษาโรคไตเรื้อรัง. ใน ปฏิณัฐ บูรณทรัพย์ขจร และปิติพงศ์ กิจรัตนกุล บรรณาธิการ อายุรศาสตร์ผู้ป่วยนอก (Ambulatory Medicine). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561. หน้า 227-238
– วินัย วนากุล การใช้ยาหลายขนานอย่างไม่เหมาะสม. ใน พจมานพิศาลประภาและคณะ บรรณาธิการ กลยุทธ์การบริบาลผู้ป่วยนอก (Ambulatory Medicine The Survivors). กรุงเทพฯ: เทพเพ็ญวานิสย์, 2559. หน้า 15-22
Fact Box
สาเหตุของโรคไตเรื้อรัง 3 อันดับแรก คือ 1.โรคเบาหวาน (37.5%) 2.โรคความดันโลหิตสูง (25.6%) 3.โรคนิ่วไตและนิ่วระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน (4.3%) ดังนั้นการป้องกันไม่ให้ป่วยหรือถ้าป่วยแล้วควบคุมทั้ง 3 โรคนี้ได้ก็จะลดโอกาสป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังลง
.🫡ピムミー🤟🏻💐 เราเป็นคนไข้โรคหลอดเลือดสมอง หมอลดยาให้เราจริง แต่เราหยุดทานยาด้วยตัวเองเลย กินน้อยลงเอง แล้วหักดิบไม่ทานยาเลย รู้สึกว่าตัวเองหายแล้วด้วย หายชักแล้ว (ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แต่เคยได้ยินมาว่าทานยามากๆ ไม่ดี)
23 มี.ค. 2562 เวลา 06.00 น.
Saksit กินไข่ต้ม (เฉพาะไข่ขาวไม่รวมไข่แดง หรือกินไข่แดงบ้างก็ได้) วันละ 8 ฟองสำหรับผู้ป่วยหนัก ได้ผลมาแล้วจากคนแถวบ้านผมเพราะหมอแนะนำ (ผมไม่ได้อ่านบทความนี้โดยตลอด ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงไข่ต้มหรือเปล่า)
เหมาะมากกับผู้ที่กินยาเยอะหรือควบคุมน้ำหนักครับ
23 มี.ค. 2562 เวลา 03.28 น.
ฮับ-เฮลท์ ใช้ยาไทย สมุนไพรไทย มันเรื่องเล็กมาก เมื่อเทียบกับการใช้ยาเคมี ถูกหลอนเรื่องผลข้างเคียงของสมุนไพรไทย จนไม่กล้าทานยาไทย ตย.คนรุ่นใหม่น้องสาว ให้แม่กินยาสเตียรอยด์แก้ปวดบวมจากรูมาตอยด์ ไม่กลัวผลข้างเคียงของยาเคมี แต่กับพืชสมุนไพรไทยอะไรก็ไม่ได้ คนไทยถูกล้างสมองจนกลัวสมุนไพรไทย มากกว่ากลัวโรค กลัวหมอ จนคนไทยป่วยและตายติดอันดับ1ของโลก ตอนนี้มากกว่า18ล้านคนแล้ว เชื่อหมอปัจจุบันมากกว่าหมอโบราณก็กินเข้าไป ยาเคมี ไม่ได้ตายเพราะโรค ตายเพราะผลข้างเคียงจากยา เช่นเกร็ดเลือดต่ำ กระดูกผุ ฯลฯ เห็นมาหลายรายแล
22 มี.ค. 2562 เวลา 16.52 น.
วรรณภรณ์ ทองสุข นี่ก็เหนื่อยใจกับคนชอบกินยามาก ๆ เลย เอะอะก็กินยา แค่แผลที่นิ้วมือก็จะซื้อยาแก้อักเสบกิน เขาเข้าใจว่าการกินยามันทำให้หาย แต่กินผิดกินถูกไม่รู้ละ ขอให้ได้กินก็สบายใจ เฮ้อ....
22 มี.ค. 2562 เวลา 16.20 น.
withu😊 เป็นบทความที่ให้ประโยชน์ดีค่ะ
22 มี.ค. 2562 เวลา 15.23 น.
ดูทั้งหมด