11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 วาติกัน กลายเป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเองโดยสมบูรณ์ตามสนธิสัญญาแลเทอเรน ครั้งหนึ่งดันเต้ จินตกวีและจิตรกรชาวอิตาเลียน ซึ่งเกิดเมื่อ ค.ศ. 1265 และตายเมื่อ ค.ศ. 1321 ได้พรรณนาว่ากรุงโรมคือสถานที่ประทับของผู้แทนพระเยซูคริสต์ไว้ดังต่อไปนี้
“…เบื้องสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตของผู้สืบสันตติแห่งมหานักบุญปีเตอร์”
ประโยคข้างต้นสามารถนํามาใช้เปรียบ เทียบพรรณนารัฐวาติกันได้อย่างเหมาะสม รัฐวาติกันคือจุดรวมความสนใจของนานาชาติทั่วโลก และจะเห็นได้ชัดว่า มวลมหาชนต่างหลามไหลเดินทางไปชมบุญบารมีพระสันตะปาปาอย่างมิรู้จักจบสิ้นอยู่ทุกวันวาร เพื่อฟังโอวาทจากพระองค์ และเพื่อเปล่งเสียงชัยถวายพระพรแด่พระองค์ – ผู้อภิบาล ชาวคริสต์ทั้งปวงทั่วทุกมุมโลก ซึ่งประทับอยู่ที่นี่ – พระราชวังวาติกัน
ในวันพิธีฉลองการเสด็จคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ต่อจากวันเพ็ญภายหลังวันที่ 21 มีนาคม ทุกปีที่เรียกกันว่า วันอิสเตอร์ ซันเดย์ หรือวันอิสเตอร์นั้น ณ บริเวณลานจตุรัสเบื้องหน้ามหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ ประชาชนนับแสนคนต่างพร้อมใจกันเดินทางมาชุมนุมถวายพระพรแด่พระสันตะปาปาเสียงดังกระหึ่มปานจะให้ได้ยินถึงสรวงสวรรค์
“Viva il Papa!”
ด้วยหัวใจและความจงรักภักดีของชนชาวคริสต์ทุกชาติทุกภาษาต่างประสงค์ให้พระสันตะปาปามีพระชนมายุยืนนาน
ย้อนอดีต กาลกลับไปสู่สมัยอัครสาวกพระเยซูคริสต์ชื่อ ปีเตอร์ (หรือ “เปโดร”) ซึ่งถูกจักพรรดิ์นีโรแห่งกรุงโรมจับขังคุกทรมานเป็นเวลา 9 เดือนและถูกตรึงกางเขนเมื่อปีคริสตศักราช 67
เนินเขาวาติกันอันแห้งแล้ง และปราศจากความงดงามคือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักร เนื่องจากเป็นที่ประทับของนักบุญปีเตอร์ พระสันตะปาปาองค์แรก
ศพของนักบุญปีเตอร์ถูกฝังอยู่ใกล้กับสถานที่ที่ท่านถูกทรมานจนสิ้นชีวิตและต่อมาได้มีการก่อสร้างวิหารขนาดใหญ่โตและสวยงามไว้บนพื้นที่บริเวณดังกล่าว นั่นคือมหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ ซึ่งแม้จนกระทั่งทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมากรุงโรมจะต้องแวะเยี่ยมชมโบสถ์แห่งนี้ เพื่อสักการะบูชาและดื่มด่ำในประวัติการณ์อันยาวนานย้อนหลังไปถึงสมัยคริสตกาล อีกทั้งชื่นชมในศิลปะและสถาปัตยกรรมอันงดงามอลังการ
ตำแหน่งพระสันตะปาปามีผู้สืบทอดมาตลอดทุกสมัยในฐานะที่เป็นประมุขแห่งคริสตจักรที่ต้องปกครองดูแลชาวคริสต์ทั่วโลก จวบจนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1929 วาติกัน ก็กลายเป็นรัฐอิสระแยกออกมาปกครองตนเอง ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาแลเทอเรน ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาไพอัสที่ 11 ได้ลงนามไว้กับรัฐบาลอิตาลี
สนธิสัญญาแลเทอเรน เป็นสนธิสัญญาที่กระทำเพื่อยุติข้อขัดแย้งซึ่งเกิดขึ้นระหว่างพระสันตะปาปากับรัฐบาลอิตาลี หรือประมุขแห่งศาสนจักร กับประมุขแห่งอาณาจักรที่มีมาตั้งแต่ค.ศ. 1870 โดยระบุให้มีการตั้งรัฐปกครองศาสนจักรบนแผ่นดินอิตาลีอย่างเป็นอิสระภายใต้อำนาจของพระสันตะปาปา
ในขณะที่พระสันตะปาปายอมรับว่า วาติกัน เป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี รัฐบาลอิตาลีก็เช่นกัน ยอมรับว่าวาติกัน เป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเอง
รัฐวาติกันคือประเทศเอกราชต่างหากจากอิตาลี ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีชื่อเดียวกับบนฝั่งขวาของแม่น้ำไทเบอร์ ใจกลางกรุงโรม มีอาณาเขตเพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเล็กกว่าสาธารณรัฐซาน มาริโน ถึง 140 เท่า และมีประชากรเพียงไม่กี่ร้อยคน
ถึงแม้ว่าจะเป็นรัฐที่เล็กที่สุดในโลกแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นสถานที่เคารพนับถือและเป็นศูนย์กลางการปกครองดูแลชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่มีอยู่จำนวนหลายล้านคนทั่วโลก
ในฐานะที่เป็นรัฐอิสระ พระสันตะปาปาจะแต่งตั้งผู้ว่าการรัฐ ทำหน้าที่ดูแลบริหารงานราชการ ทั้งนี้ รัฐวาติกันมีกลไกและองค์กรดำเนินงานในด้านต่างๆ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจและสังคมเป็นของตนเอง นอกเหนือไปจากการศาสนาที่แผ่คลุมไปทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็น
– ธงประจำรัฐ
– ศาล
– สถานเอกอัครสมณทูตประจำต่างประเทศ
– สถานีวิทยุกระจายเสียง
– หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส เยอรมัน และอิตาลี
– การไปรษณีย์โทรเลข
– สถานีรถไฟที่เชื่อมต่อกับระบบรถไฟของอิตาลี
– เหรียญเงินตราที่ผลิตออกมาใช้จ่าย
– วิทยาลัยสงฆ์
– สถาบันการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี
รัฐวาติกันประกอบด้วยพระราชวัง อันเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา, มหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ อันเป็นศูนย์รวมแห่งศิลปะที่มนุษย์อุทิศแด่พระบุตรของพระเจ้า, พิพิธภัณฑ์อันเต็มไปด้วยโบราณวัตถุมีคุณค่า และหอสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกบรรจุเอกสารโบราณมากมายมหาศาล
อาคารต่าง ๆ ในรัฐวาติกันล้วนแต่สมบูรณ์แบบและเลิศด้วยความงามด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ซึ่งก่อสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์สืบมาหลายยุคสมัย อาคารบางส่วนมีอายุเก่าแก่ถึงคริสตศตวรรษที่ 4
มหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ถูกก่อสร้างทดแทนขึ้นใหม่โดยบัญชาของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งได้วางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 และใช้เวลาในการก่อสร้างกว่าจะแล้วเสร็จถึง 120 ปี ในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1626
บรามังเต้, ราฟาเอล และไมเคิลแอนเจโล คือสามยอดศิลปินเอกของโลกชาวอิตาเลียนที่ได้ร่วมแรงศรัทธาทุ่มเทความเป็นอัจฉริยะในศิลปะและสถาปัตยกรรม เนรมิตอาคารทรงโดมของมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นมาด้วยมิติอันยิ่งใหญ่และเป็นสุดยอดของฝีมือเท่าที่มนุษย์จะกระทําได้
มหาวิหารแห่งนี้สูง 132.50 เมตร ยาว 211.50 เมตร อยู่บนเสาหินอ่อนจำนวน 800 ต้น ภายในมหาวิหารมีห้องทั้งหมด 1,400 ห้อง ประดับประดาด้วยจิตรกรรมและปฏิมากรรมฝีมือของไมเคิลแอนเจโล
ประชาชนต่างหลั่งไหลมาคำนับศพของนักบุญปีเตอร์ และศพพระสันตะปาปาอีกกว่า 30 องค์ เป็นเบื้องแรกเมื่อเดินทางมาถึงพระราชวังวาติกันอยู่เสมอทุกวัน
หากมองขึ้นไปเบื้องบนหลังคาทรงโดมภายในมหาวิหารจะเห็นภาพจิตรกรรมตระการตา และจารึกภาษาลาตินบนแผ่นพื้นทองเป็นพระวัจนะที่พระเยซูคริสต์ตรัสแก่นักบุญปีเตอร์ว่า
“ท่านคือปีเตอร์, บนศิลานี้เราตั้งคริสตจักรของเราไว้, และเราจะมอบกุญแจแผ่นดินสวรรค์ ให้ไว้แก่ท่าน”
ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนรัฐอื่นใดในโลกคือรัฐวาติกัน มีทหารชาวสวิส ซึ่งสวมเครื่องแบบแต่งกายสวยงามอย่างโบราณซึ่งออกแบบโดยไมเคิลแอนเจโล ทำหน้าที่เป็นทหารยามรักษาการณ์ และทหารองครักษ์ รักษาความปลอดภัยให้พระสันตะปาปา-ผู้ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้อภิบาลและประมุขแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกแล้ว ยังมีบทบาทในการแก้ปัญหาทางการเมือง โดยพระองค์ได้เพียรพยายามยุติสงครามและแสวงหาสันติภาพให้เกิดขึ้นในมวลหมู่มนุษยชาติ โดยสนับสนุนนโยบายการลดกำลังอาวุธของประเทศอภิมหาอำนาจเพื่อหันมาร่วมกันสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงปลอดภัยในทุกเขตภูมิภาคของโลก
นอกจากบทบาทในการพัฒนาโลกสู่สันติแล้ว พระสันตะปาปาแห่งรัฐวาติกัน ยังมีบทบาทในการแก้ปัญหาสังคม วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์สำหรับโลกสมัยใหม่ โดยได้แต่งตั้งผู้แทนประจำในองค์การต่างๆ ของสหประชาชาติ อาทิ UNESCO, FAO, UNIDO, WHO, ILO และอื่น ๆ อีกทั้งในองค์การระหว่างประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐบาล อาทิ สำนักงานคณะกรรมการประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ดึกดำบรรพวิทยา และอื่นๆ อีกมาก
นี่แหละคือ วาติกัน ที่สถิตบัลลังก์ของพระสันตะปาปา-ผู้ดูแลปกครองคริสตจักรต่อมาจากอัครสาวก-นักบุญปีเตอร์
อ่านเพิ่มเติม :
เผยแพร่ในระบบออนไลน์เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2562
ถวัลย์ ศิริสงค์ รุ่น23 เป็นรัฐที่ไม่มีกองกำลังเป็นของตัวเอง แม้ทหารยังต้องใช้ทหารมาจากสวิสเซอร์แลนด์ แต่มีอิทธิพลล้นฟ้า ใครๆก็ยำเกรง
20 พ.ย. 2562 เวลา 07.34 น.
ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
คนที่ไม่ดี คือพวกไม่มีศาสนา ที่แย่กว่านั้นคือ มารศาสนา ที่ชอบขลุกอยู่กับสีกา เสพเมถุนกับเด็กวัดผู้ชายหรือพระเณรด้วยกันเอง รวมถึงเสพยา ดื้มสุรา ไม่พูดเยอะดีกว่า เจ็บคอ
20 พ.ย. 2562 เวลา 07.17 น.
ชาร์ลี เมืองไทยก็มีสมเด็จพ่อปู่ฤาษีครับรู้ทุกอย่างเรื่องอนาคต
20 พ.ย. 2562 เวลา 10.15 น.
น่ามีนครรัฐแห่งพุทธศาสนาด้วยนะ 😊
20 พ.ย. 2562 เวลา 07.53 น.
♠️ ไม่มีเวลาไปไร้สาระหรอก ยุคนี้ต้องปากกัดตีนถีบทำมาหากินกันต่อไป
20 พ.ย. 2562 เวลา 07.10 น.
ดูทั้งหมด