นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่ชื่อของหัวเว่ยถูกขึ้นบัญชี Entity Listห้ามทำธุรกิจซื้อขายกับบริษัทของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2562 นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อต่างประเทศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 พ.ค.) ว่า บริษัทเตรียมความพร้อมมาระยะหนึ่งแล้วสำหรับเรื่องนี้ โดยบริษัทจะมุ่งพัฒนาชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญๆด้วยเทคโนโลยีของตัวเอง และลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ปัจจุบัน หัวเว่ยฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก มีการนำเข้าชิ้นส่วนต่างๆจากภายนอกองค์กรประมาณ 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในแต่ละปี
นอกจากนี้ แหล่งข่าวจากหัวเว่ยฯยังเปิดเผยต่อซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2562 ยืนยันว่า บริษัทกำลังสร้างระบบปฏิบัติการ (OS)สำหรับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เพื่อเป็นทางออกต่อกรณีที่บริษัทอาจถูกสกัดกั้นไม่ให้ใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทอเมริกันอย่างกูเกิ้ล หรือไมโครซอฟท์ ดังที่เป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ ที่ว่ากูเกิ้ล ผู้สร้างระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพาของหัวเว่ยฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า จำเป็นต้องระงับการให้บริการทางเทคนิค ตลอดจนการสนับสนุนด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แก่บริษัทหัวเว่ยฯ ยกเว้นบางอย่างที่สามารถให้บริการได้ผ่านระบบเปิด มีผลตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังรัฐบาลสหรัฐฯประกาศชื่อหัวเว่ยฯ เป็นหนึ่งในบริษัทต่างชาติที่ถูกขึ้นบัญชีดำ ห้ามบริษัทอเมริกันค้าขายด้วย ซึ่งตามคำสั่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้อ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐฯระบุว่า หัวเว่ยฯเป็นบริษัทที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลจีน และมีโอกาสที่อุปกรณ์โทรคมนาคมของหัวเว่ยฯจะถูกใช้เพื่อการสอดแนมข้อมูลรัฐบาลสหรัฐฯไปให้แก่รัฐบาลจีน กรณีดังกล่าวทำให้สหรัฐฯคัดค้านการนำอุปกรณ์ เทคโนโลยี หรือชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยฯมาใช้ในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารในระบบ 5G ของสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นในระดับหน่วยงานภาครัฐหรือธุรกิจเอกชน ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐฯยังโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯทั้งในยุโรปและเอเชีย ต่อต้านหรือคว่ำบาตรการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีของหัวเว่ยฯ เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯกำลังทำอยู่ด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า หัวเว่ยฯ กำลังเดินหน้าพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆและซอฟต์แวร์ของตัวเองเพื่อเป็นผู้กำหนดโชคชะตาธุรกิจของตัวเอง ไม่เช่นนั้นเมื่อเกิดอุปสรรคสกัดกั้นไม่ให้เข้าถึงฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์สำคัญๆที่ต้องใช้ แต่ผลิตเองไม่ได้ บริษัทก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเวลานี้ท่ามกลางบริบทที่ถูกสหรัฐฯอเมริกาและประเทศพันธมิตรกดดันทุกวิถีทางในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี 5G
ปัจจุบัน นอกจากหัวเว่ยฯจะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิ้ลในสินค้าของบริษัทกลุ่มสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สื่อสารขนาดพกพาแล้ว บริษัทยังใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ของไมโครซอฟต์ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันเช่นเดียวกับกูเกิ้ล ในกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์แล็ปท้อปและแท็บเล็ต
นายริชาร์ด ยูประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์ของหัวเว่ยฯ ให้สัมภาษณ์ Die Welt (ดี เวลท์) สื่อใหญ่ของเยอรมันว่า บริษัทมีระบบปฏิบัติการสำรองไว้ใช้แล้วสำหรับกรณีฉุกเฉินหากถูกปิดกั้นจากซอฟต์แวร์ของบริษัทสหรัฐฯอย่างสิ้นเชิง “นั่นคือแผนสอง (Plan B) ของเรา แต่แน่นอนว่า ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากทำงานกับระบบนิเวศของกูเกิ้ลและไมโครซอฟต์มากกว่า” ผู้บริหารของหัวเว่ยฯ กล่าว นอกจากนี้ ยังยอมรับว่ากำลังพัฒนาชิปสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟนของบริษัทเองในอนาคต
นักวิเคราะห์มองว่า สำหรับตลาดสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยฯ ตอนนี้ยอดขายราว 50% มาจากตลาดจีนเอง ซึ่งรัฐบาลจีนห้ามใช้บริการของกูเกิ้ล หรือ Google services อยู่แล้ว ซึ่งรวมทั้งการเข้าถึง google Play Store ก็ถูกปิดกั้นอยู่แล้วด้วย ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯจึงอาจไม่กระทบตลาดจีน แต่จะมีผลกระทบหนักในตลาดต่างประเทศที่นิยมใช้ระบบแอนดรอยด์ ในปีที่ผ่านมา (2561) หัวเว่ยฯสามารถแซงหน้าบริษัทแอปเปิ้ล ผู้ผลิตโทรศัพท์ไอโฟน ขึ้นมาเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่เป็นอันดับ2 ของโลกรองจากบริษัท ซัมซุง ได้สำเร็จ ผู้บริหารของหัวเว่ยฯ คาดหมายว่า ภายในปี 2020 หรือเพียงปีเดียวข้างหน้า บริษัทจะสามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับ1 ได้ในที่สุด
มันต้องมีมลูละไม่มีมลูหมาไม่ขี้แน่นอน
20 พ.ค. 2562 เวลา 14.44 น.
!HeYhApArTy จัดไปครับ.....
เอาให้เจ๋งกว่า ไอ้กันเลยนะครับ....^^
20 พ.ค. 2562 เวลา 14.00 น.
แซบไทบ้านโคตรมัน หัวเหว่ยสู้
20 พ.ค. 2562 เวลา 13.29 น.
Montri Teanphimai แสดงว่า..ตัวเอง(เมกา) เคยทำมาก่อนแน่เลยแบบนี้..(ฝังซ็อฟแวร์สอดแนม) "วัวสันหลังว๊ะนี่หว่า.." เลยระแวงกลัวเขาจะทำมั่ง.. นี่เอ็งกลัวจีนออกอาการขี้ขึ้นสมองเลยรึ!?..ทรั้มพ์ เสียฟอร์มชิปหาย..เป็นถึงหมาอำนาจเบอร์1 ของโลก อับอายขายขี้หน้า แล้วจะเป็นผู้นำโลกต่อไปได้อย่างไร.. แบบนี้ชาติอื่นเขาไปคบจีนดีกว่า นโยบายจีน"ทำธุรกิจร่วมกันแบบวินๆ เหมือนเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน" ส่วนนโยบายทรั้มพ์ "การเจราใดๆผลประโยชน์กูต้องมาก่อน" เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว ไอ้คนแบบนี้คบไปมีแต่เสียอย่างเดียว.. ช่างเป็นข่าวเศร้า.. :(
20 พ.ค. 2562 เวลา 13.28 น.
Kenny2 ชอบทรัมป์ อย่างนึง คือ เอาจริง พังไม่สน ไม่คิกคุ...บอกว่าตัดคือ ตัด ไม่คือไม่...มีความเป็นผู้นำของจริง+++ดีชั่ว ขี้เกียจชั่ง+++แต่ชอบ คาแรคเตอร์แบบนี้........ลองเทียบกับ กษัตริย์บรูไน ก็ได้นะว่า ใครป๊อด ใครเป๋ ท่ามกลางพายุ__คนจริง ต้องเอาจริงนะครับ โดยเฉพาะผู้นำ
20 พ.ค. 2562 เวลา 13.06 น.
ดูทั้งหมด