ยิ่งใกล้ถึงวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศไว้ว่าจะรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.เขตให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ภายในไม่เกิน 9 พ.ค.นี้ ที่หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาฯ-นายกรัฐมนตรีต่อไป เวลาที่ใกล้งวดเข้ามา ยิ่งทำให้ผู้สมัคร ส.ส.เขตที่แพ้การเลือกตั้ง ยิ่งทยอยยื่นเรื่อง-ข้อมูลเพื่อให้ กกต.สอบสวนและนำไปสู่การจัดเลือกตั้ง-นับคะแนนใหม่
อย่างเมื่อวันจันทร์ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา สุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 9 เพื่อไทย ก็ไปยื่นเรื่องขอให้ กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขต 9 ทั้งเขต โดยอ้างว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในบัตรลงคะแนน
อย่างไรก็ตาม ในรอบสัปดาห์นี้ประเด็นที่หลายคนจับตามองที่เกี่ยงโยงกับการทำงานของ กกต.โดยตรง ที่สำคัญคือ เป็นเรื่องที่มีผลต่อจำนวนเสียง ส.ส.ในการจัดตั้งรัฐบาลของขั้วเพื่อไทยกับขั้วพลังประชารัฐ ที่กำลังชิงเสียง ส.ส.เพื่อชิงการตั้งรัฐบาลกันอย่างเข้มข้น
นั่นก็คือ การประชุมของ 9 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในการวินิจฉัยคำร้องที่ กกต.ยื่นคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยว่า หาก กกต.จะคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 (5) ซึ่งจะทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ ส.ส.พึงมี 1 คน คือ 71,065 คะแนน ซึ่งเป็นการคิดจากจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศหารด้วยจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน แล้วหารด้วยคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ สุดท้ายแล้ว พรรคที่ได้คะแนนต่ำกว่า 71,065 คะแนน จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1 คน การดำเนินการดังกล่าวของ กกต. จะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่
หลังหลักเกณฑ์การคิดจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่แต่ละพรรคการเมืองจะพึงได้ดังกล่าว มีความเห็นแตกต่างหลากหลายของผู้คนในแวดวงการเมือง-นักวิชาการ จนสุดท้าย 7 เสือ กกต. เลยเลือกส่งศาล รธน.วินิจฉัยให้สะเด็ดน้ำ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย หากเคาะสูตรคำนวณออกมาแล้วมีบางฝ่ายไม่เห็นด้วย ไปร้องเอาผิดทีหลัง ก็จะได้อ้างคำวินิจฉัยศาล รธน.คุ้มกันตัวเองได้
ยิ่งสูตรการให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนน้อยกว่า 71,065 คะแนน สามารถมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ 1 เก้าอี้ ถูกมองว่าเป็นการเปิดทาง-เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายขั้วพลังประชารัฐได้เปรียบในการชิงเสียงตั้งรัฐบาลเหนือเพื่อไทย เพราะพรรคเล็กๆ ที่จะได้ ส.ส.ตามสูตรดังกล่าว เช่น พลังธรรมใหม่-ประชาชนปฏิรูป–ไทยศรีวิไลย์ ล้วนแสดงท่าทีพร้อมจะไปอยู่กับขั้วพลังประชารัฐ ซึ่งหากพรรคเล็กๆ เหล่านี้ได้ส.ส.ขึ้นมา ฝ่ายพลังประชารัฐก็อาจกุมความได้เปรียบเหนือเพื่อไทยตามมา
ดังนั้น การเคาะสูตรปาร์ตี้ลิสต์ดังกล่าวของ กกต. และการวินิจฉัยของศาล รธน. จึงมีผลโดยตรงต่อการจัดตั้งรัฐบาลต่อจากนี้ ในสภาวะที่ทุกเสียงมีความหมายต่อการเกิดขึ้นของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
ซึ่งก็มีข่าวว่า ตุลาการศาล รธน.จะนัดประชุมเพื่อหารือคำร้องดังกล่าวของ กกต.ในสัปดาห์นี้ โดยอาจจะเป็นวันพุธที่ 24 เม.ย. หรือไม่เกินพฤหัสบดีที่ 25เม.ย. ก็น่าจะมีมติออกมาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องดังกล่าวของ กกต.ไว้วินิจฉัยหรือไม่?
เรื่องดังกล่าวส่งผลให้ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" อดีตผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักษาชาติที่ตอนนี้ย้ายกลับมาเพื่อไทย เลยชิงดักไปยื่นคำร้องต่อศาล รธน.ไม่ให้รับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัยเมื่อ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุว่า คำร้อง-ข้อสงสัยของ กกต.ข้างต้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย
ทั้งนี้ หากอ้างอิงแนววิเคราะห์ของนักกฎหมายอย่าง “ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล" อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ที่วิเคราะห์แนววินิจฉัยคดีของศาล รธน. ไว้ ว่าจะออกมาด้วยกัน 4 แนว โดยสรุปใจความได้ดังนี้
1.ศาลไม่รับเรื่องไว้พิจารณา เนื่องจากเป็นอำนาจของ กกต.โดยตรง และเมื่อ กกต.ยังไม่คิดคำนวณออกมา จึงยังไม่เกิดปัญหา ข้อโต้แย้ง การร้องคัดค้าน เท่ากับว่ายังไม่เกิดปัญหาเรื่องการใช้อำนาจของ กกต. ที่จะเข้าข่ายให้ศาลรับไว้ได้ จึงไม่รับพิจารณา
2 ศาลไม่รับเรื่องไว้พิจารณา ด้วยเหตุผลเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ กกต. ที่จะพิจารณาให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
3.ศาลรับเรื่องไว้พิจารณา และมีคำวินิจฉัยว่า กกต.มีอำนาจหน้าที่ในการคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อตามกฎหมาย แต่ศาลไม่วินิจฉัยลงรายละเอียดเรื่องสูตรคำนวณดังกล่าว เพราะเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ กกต.
4.ศาลรับเรื่องไว้พิจารณา และมีคำวินิจฉัยรับรองอำนาจหน้าที่และวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ กกต. เสนอให้ศาลพิจารณาดังกล่าว ว่าเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. โดยหากศาล รธน.วินิจฉัยออกมาในสูตรที่ 4 เท่ากับจะทำให้พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.ต่ำกว่า 71,065 คะแนน ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วยหนึ่งเก้าอี้ ไล่เรียงกันไปจากพรรคใหญ่สู่พรรคเล็ก จนครบ 150 คน และจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต
รอติดตามกันดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไรกับคำร้องที่จะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว หลังมีกระแสข่าว 9 ตุลาการศาล รธน.มีแนวโน้มเสียงแตก.
กูณฑ ์เมฆะเทวะ การพิจารณาของศาล เมื่อเป็นไปตาม กม. ที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่าว่าเอียงสิ ตังหนังสือก็ชัดเจน
กลายเป็นแถว่าถูกครอบงำ
22 เม.ย. 2562 เวลา 23.49 น.
pim ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหน ถือว่า ศาลได้ทำหน้าที่แล้ว และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตามมาด้วยความรับผิดชอบ มากน้อยก็ว่ากันไป
22 เม.ย. 2562 เวลา 21.53 น.
Tickety-Boo!!!🐈 ถ้าไม่มีอะไรพลิกแพลง.. ตามหลักของศาลแล้วน่าจะออกที่... ข้อ1!!! ฟันธง!!! 👍👍👍
22 เม.ย. 2562 เวลา 20.46 น.
Jamin Ksr คนเขียนน่าจะอธิบายได้ดีที่สุด แต่เงียบ
22 เม.ย. 2562 เวลา 19.02 น.
chatchai ศาลหากไม่มีความเป็นกลาง และไม่ตัดสินด้วยหลักถูกต้องของ กม. และหลักความยุติธรรม ก็จะทำให้ชาตินั้นล่มจม ปชช. จะเกิดความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้น แล้วตามด้วยยังหมิ่น วิจารณ์ศาลไม่ได้อีก หากศาลทำผิด การเอาผิด จนท.ตุลาการศาล ยิ่งยากไปอีก ก็จะยิ่งทำให้ชาติแย่ไปหนักอีกโดยเฉพาะศาล รธน. ที่ทำหน้าที่ตัดสินคดี กม. รธน. ที่ถือว่าเป็น กม.สูงสุดของประเทศ
22 เม.ย. 2562 เวลา 18.56 น.
ดูทั้งหมด