การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้(27 พฤษภาคม2563) จะมีการพิจารณาวาระเรื่องสำคัญของพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับวงเงิน1.9 ล้านล้านบาทรวมถึงพ.ร.ก.ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(ประชุมทางไกล) และร่างพ.ร.บ.โอนงบ8.8 หมื่นล้านบาทมาช่วยเยียวยาผลกระทบจากCOVID-19
“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะมาเจาะลึกพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับวงเงิน1.9 ล้านล้านบาทกันก่อนโดยที่ผ่านมาเมื่อวันที่7 เมษายน2563 ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวนี้ซึ่งนับเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชุดที่3 แล้ว
โดยพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 วงเงิน1.9 ล้านล้านบาทประกอบด้วย
1.พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจวงเงิน1 ล้านล้านบาทประกอบด้วย2 มาตรการย่อยคือ
1.1 แผนงานสาธารณสุขและแผนงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเยียวยาประชาชน6 เดือนเยียวยาเกษตรกรและดูแลด้านสาธารณสุขวงเงินรวม6 แสนล้านบาท
1.2 แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยครอบคลุมโครงการดูแลสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ได้แก่สนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุชนและสนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่วงเงินรวม4 แสนล้านบาท
2.พ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออกSoft Loan เพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะSMEs วงเงิน5 แสนล้านบาทประกอบด้วย2 มาตรการย่อยได้แก่
2.1 สินเชื่อใหม่5 แสนล้านบาทอัตราดอกเบี้ย2% สำหรับSMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน500 ล้านบาทวงเงินรวม5 แสนล้านบาท
2.2 ธพ. และSFIs พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา6 เดือนให้SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน100 ล้านบาท
3.พ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงินวงเงิน4 แสนล้านบาทโดยตั้งกองทุนรวมCorporate Bond Liquidity stabilization Fund หรือBSF และให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว
ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจพ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากCOVID-19 ทั้งหมด3 ฉบับนี้ง่ายๆ ขอนำคำอธิบายของ "แพรตริเซียมงคลวนิช"ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) ที่ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเกี่ยวกับพ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉินของรัฐบาลผ่าน 6 ประเด็นคำถามที่น่าสนใจดังนี้
1.รัฐบาลกู้1.9 ล้านล้านบาทจริงเหรอ?
คำตอบคือ ไม่จริง พ.ร.ก.ที่รัฐบาลออกมา มีอยู่ 3 ฉบับ แบ่งเป็น 1. พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท 2. พ.ร.ก.Softloan 500,000 ล้านบาท และ 3. พ.ร.ก.Bond Stabilization Fund BSF 400,000 ล้านบาท
แม้ว่าถ้าบวกกันจะมีมูลค่ารวม 1.9 ล้านล้านบาท แต่มีเพียง พ.ร.ก.ฉบับที่ 1 ฉบับเดียวเท่านั้นที่จะใช้เงินกู้ ส่วนอีก 2 ฉบับ เป็นการใช้สภาพคล่องของ ธปท. ดังนั้น การบอกว่ารัฐบาลกู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
2.รัฐบาลจะกู้เงินจากที่ไหน?
คำตอบคือ รัฐบาลมีเครื่องมือในการกู้เงินทั้งเครื่องมือระยะยาว เช่น การขายพันธบัตร ตั้งแต่อายุ 5-50 ปีให้นักลงทุนสถาบัน การขายพันธบัตรออมทรัพย์ให้ประชาชน การกู้จากองค์การระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และเครื่องมือระยะสั้น เช่น การออกตั๋วเงินคลัง การกู้เงินผ่านสถาบันการเงินในรูป PN หรือ Term loan ซึ่งภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนี้ ก็จะกระจายการกู้เงินไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเครื่องมือใดเครื่องมือนึงเป็นการเฉพาะ
3.รัฐบาลกู้เงินมา 1 ล้านล้านบาทแล้วหรือยัง?
คำตอบคือ ยังไม่ได้กู้ รัฐบาลจะทยอยกู้เงินตามความต้องการใช้เงิน ซึ่งในขณะนี้มีเพียง 2 โครงการเท่านั้น ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกู้ คือ การเยียวยาประชาชน และเกษตรกร
โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2563 ได้ทำการกู้เงินไปแล้ว 170,000 ล้านบาท ผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรออมทรัพย์ เครื่องมืออื่นจะทยอยตามมา
4.จำเป็นต้องกู้ทั้ง 1 ล้านล้านบาทไหม?
คำตอบคือ อาจจะไม่จำเป็น ทั้งนี้จะต้องกู้เป็นจำนวนเท่าไร ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการใช้เงิน ถ้า COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจฟุบนาน งบประมาณปี 2564 ใช้ไม่เพียงพอในการดูแลประชาชนและเศรษฐกิจ ก็อาจจะต้องกู้จนครบจำนวน 1 ล้านล้านบาท แต่ถ้าพวกเราช่วยกันแล้วคุมโรคอยู่ ทุกๆ อย่างค่อยๆ ผ่อนคลาย เศรษฐกิจเริ่มหมุน คนกลับมามีรายได้ เงินงบประมาณ 2564 ดูแลได้อย่างเพียงพอ ก็อาจจะไม่ต้องกู้จนครบ 1 ล้านล้านบาทก็เป็นได้
5.เมื่อกู้ครบ 1 ล้านล้านบาทแล้ว สภาวะหนี้ของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร?
คำตอบคือ จากการประมาณการ หากต้องกู้เงินครบ 1 ล้านล้านบาท ภายใน 30 กันยายน 2564 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะสามารถกู้ได้ตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ คาดว่าหนี้สาธารณะของไทย ณ 30 กันยายน 2564 จะอยู่ที่ 57.96% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ประกาศกำหนด Debt / GDP ไว้ที่ 60%
อย่างไรก็ดี Debt/GDP ที่ระดับ 60% นี้ เป็นระดับหนี้พึงมีในสภาวการณ์เศรษฐกิจที่ปกติ แต่ในสภาวการณ์ที่ไม่ปกติ หากมีความจำเป็นต้องมีเงินเพื่อดูแลประชาชนและเศรษฐกิจเพื่อให้เดินต่อไปได้ และสามารถกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และอาจทำให้หนี้สาธารณะเกินระดับ 60% ไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่โลกจะถล่ม ประเทศจะทลาย ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญเติบโต สัดส่วนดังกล่าวก็จะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นช่วงที่หนี้สาธารณะสูงที่สุด คือ 59.9% และเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นประกอบกับการมีวินัยในเรื่องหนี้ที่ดี ทำให้ในปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ในระดับเพียง 41.4% ของ GDP
6.หนี้ก้อนนี้เมื่อไรจะใช้หมด?
คำตอบคือ อายุเฉลี่ยของหนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ที่ 10 ปีกว่าๆ โดยหนี้ที่อายุยาวที่สุดคืออายุ 50 ปี ทั้งนี้ ในการชำระหนี้ รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ไว้ในงบประมาณทุกปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า อัตราการชำระหนี้ที่เหมาะสมในแต่ละปี ควรจะจัดสรรงบประมาณไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณ เพื่อใช้ในการชำระเงินต้น
ดังนั้น การจะตอบว่าประเทศไทยจะชำระหนี้ก้อนนี้หมดเมื่อไร มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย คงไม่สามารถตอบเป็นจำนวนปีที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจดี ประเทศไทยจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น และได้รับการจัดสรรงบชำระหนี้อย่างเหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดได้เร็วขึ้น
kaikohmak นาวิน กู้ไม่กู้มันเป็นแค่กระดาด แต่ที่แน่รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อจำนวนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวินกู้ดีเหลือเสีย ถ้าเสียเขาก็มาเอากับรัฐบาลเช่นเดียวกัน
27 พ.ค. 2563 เวลา 05.34 น.
บินเดี่ยว พันลี้ ที่มาของการต่อ พ.ร.ก. เพื่อจะได้ไม่มีคนค้าน
26 พ.ค. 2563 เวลา 15.00 น.
วิศิษฐ์ แจกเป็นอย่างเดียว. ไม่เคยได้ยินว่าหาเงินเป็น และก็มีแต่จะแจกเพิ่มอีก ยังคิดว่ามีปัญญาใช้หนี้อีกหรือ. ไม่ก่อหนี้เพิ่มมากกว่าที่คิดก็คงดี
26 พ.ค. 2563 เวลา 14.48 น.
suthin mooya oppo ประเทศำไทยจะล่มสลายแน่คราวนี้เตรียมหนีไปอยู่ประเทศอื่นได้แล้วคนไทย
26 พ.ค. 2563 เวลา 14.42 น.
Arayan Fakeeeeeeeeee
26 พ.ค. 2563 เวลา 14.39 น.
ดูทั้งหมด