ความฟุ้งซ่านไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง
แต่เกิดจากนิสัย ความเคยชิน วิธีคิด
ในแบบที่ลงเอยเป็นอาการฟุ้งจัด ควบคุมไม่ได้
พูดง่ายๆ คุณไปเสกพายุความฟุ้งซ่านไม่ได้
ต้องมีบางสิ่งเป็นตัวทำให้มันก่อตัวขึ้น
และเมื่อพายุความฟุ้งซ่านก่อตัวแรง
แล้วคุณใจร้อนอยากระงับมันลงเร็วๆ
แทนที่มันจะลดระดับ กลับทวีตัวแรงขึ้น
ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ ก็จะหลับยากขึ้นอีก
ที่คุมสติคิดงานให้เป็นระบบระเบียบไม่ได้
ก็จะยิ่งกระเจิดกระเจิง ออกอ่าวยิ่งๆขึ้นไป
.
เหตุปัจจัยให้ฟุ้งยุ่งเตลิดเปิดเปิงมีอยู่ ๒ ชนิด
หนึ่ง ชนิดที่ควบคุมได้ แต่ไม่ยอมควบคุม
สะท้อนว่า คุณเป็นพวกรนหาที่
อยู่ดีๆ ก็เอาความฟุ้งซ่านมาใส่หัว
แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน
เช่น ไม่ต้องดูละครประเภทอัดฉีดเสียงกรี๊ดเข้าหู
ไม่ต้องคุยไร้สาระเละเทะหลายๆ ชั่วโมง
แต่ก็เต็มใจ ยินดี และไม่มีความคิดจะเลิก
กลัวชีวิตจะไม่สนุก
กลัวความสุขชั่ววูบพรรค์นั้นจะหายไปจากตัว
แบบนี้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมให้ตายก็ไม่หายฟุ้งซ่าน
เพราะคุณเป็นพวกฝักใฝ่เอง
สมยอมเองตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
.
สอง ชนิดที่ควบคุมไม่ได้ เป็นเหตุสุดวิสัย
เช่น ต้องฝืนใจอ่านหนังสือ เพื่อสอบให้ผ่าน
ต้องเข้าออฟฟิศที่เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง
เพื่อเลี้ยงชีพให้รอด เรียกว่าหลบไม่พ้น
หนีอย่างไรก็ต้องวิ่งเข้าชนตอวันยังค่ำ
อันนี้ให้บอกตัวเองว่า
อย่างไรก็ต้องเป็นทุกข์ อย่างไรก็ต้องฟุ้งซ่าน
แต่จำกัดความทุกข์ให้เกิดเป็นเวล่ำเวลา
อย่าต้องเป็นทุกข์
อย่าต้องปั่นพายุความฟุ้งตลอด ๒๔ ชั่วโมงก็แล้วกัน
.
ยกตัวอย่างเช่น
รู้ตัวว่าตื่นนอนตอนเช้า ไม่อยากไปทำงาน
เพราะคิดถึงสภาพแวดล้อมแย่ๆ ในที่ทำงานแล้วปวดหัวใจ
แปลว่าคุณเริ่มอมทุกข์นั้นไว้
ตั้งแต่ลุกจากที่นอนไปจนถึงที่ทำงาน
คิดเป็นเวลา ๔๕ นาที หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
จากนั้นพอถึงที่ทำงานจริง
เจองานและคนในที่ทำงานอันเป็นต้นเหตุทุกข์ของจริง
ก็เป็นทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ อีก
แถมพอเลิกงาน
ก็อาจจมอยู่กับอารมณ์แฟบๆ ต่ออีกไม่รู้กี่ชั่วโมง
พอ ๕ นาทีสุดท้ายใกล้นอน
ค่อยคิดหาวิธีระงับความฟุ้งซ่าน สวดมนต์ไหว้พระ
หรือนั่งดูลมหายใจบนที่นอนกัน
.
ลองเปลี่ยนใหม่ ทันทีที่ตื่นนอน
พอรู้ทันว่าเริ่มคิดให้เป็นทุกข์ตามความเคยชินเดิมๆ
เห็นว่ายังไม่มีใครมาทำอะไรให้
แต่ความคิดของคุณมันทำตัวเอง
เล่นงานตัวเองให้เป็นทุกข์
คุณจะเกิดสติ
เกิดความผ่อนคลายทั้งทางกายและทางใจ
แล้วเห็นว่า ๔๕ นาที หรือชั่วโมงครึ่ง
ที่จะต้องเดินทางไปสู่ที่ทำงานนี้
ยังไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ก็ได้
เท่านี้ก็จะเกิดชนวนนิสัยทางจิตแบบใหม่
เกิดความเคยชินใหม่
ที่ช่วยให้พื้นที่ความทุกข์ในชีวิตน้อยลงทันที
คิดเป็นเวลาแล้วอาจจะหายไปวันละเป็นสิบชั่วโมง
โดยที่ยังไม่ต้องนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด
.
สรุปว่า ไม่มีการนั่งสมาธิเดินจงกรมแบบใด
ที่ช่วยให้คุณหายฟุ้งซ่านได้เร็วๆ
ตราบใดที่ยังไม่เลิกพฤติกรรมชวนป่วน
ลากตัวเองเข้ารกเข้าพง
แต่ตรงข้าม หากพฤติกรรมทางใจของคุณ
ลดต้นเหตุความฟุ้งซ่านลงแล้ว
มีความสงบระงับแล้ว พร้อมตื่นรู้กายใจตามจริงแล้ว
นั่นเอง คุณถึงพร้อมจะปฏิบัติธรรม
เพื่อถอดถอนอุปาทานในกายนี้ใจนี้เสียได้!
Yongyuth ฟุ้งซ่านรำคาญใจเกิดจากจิตไม่เป็นสมาธิแต่ถ้าฟุ้งซ่านไม่รำคาญใจเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิมีสติรู้เท่าทันความคิดคิดดีก็รู้คิดชั่วก็รู้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหา เราต้องการความคิดที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา เท่านั้นจึงจะเป็นความคิดดีหาไม่แล้วเราจะตกไปอยู่ใต้อำนาจของความคิดชั่วเห็นแก่ตัวเพราะ ว่าขาดสติรู้เท่าทันความคิด นั่นเอง
15 ธ.ค. 2562 เวลา 10.53 น.
Tui of Earth การคิดฟุ้งซ่านบางคนก็หยุดง่าย แต่เพราะว่ามันเป็นนิสัย ก็ยากสำหรับบางคนที่จะหยุดมัน การคิดเป็นคุณสมบัติของนักคิด เพียงแต่ถ้ามันฟุ้งซ่านนักคิดเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปหาอะไรซักอย่างทำแทน เช่นออกไปสูดอากาศ หากิจกรรมเล็กๆทำ นิสัยไม่สามารถแก้ได้ภายในวันเดียวต้องฝึก ความคิดหยุดไม่ยากแค่หยุดคิดแล้วหากิจกรรมทำแทน ก็น่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย
15 ธ.ค. 2562 เวลา 07.37 น.
อย่าไปกังวลกับในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เตรียมพร้อมกับในการแก้ไข ย่อมช่วยทำให้จิตใจดีขึ้นมาได้เหมือนกัน.
15 ธ.ค. 2562 เวลา 10.23 น.
Rainny L.(อิมกึมบี)🌦 ใช้วิธีหักเหจิต และทำความรู้สึกตัวกับลมหายใจเมื่อสงบจึงปล่อยวางทุกสิ่ง
16 ธ.ค. 2562 เวลา 02.58 น.
Chanokchon星 ถ้าคิดถึงใครซักคนมากๆจนรบกวนการทำงานในชีวิตของเรา ต้องทำยังไงคะ
15 ธ.ค. 2562 เวลา 10.50 น.
ดูทั้งหมด