ไลฟ์สไตล์

บุคลิกภาพ-หน้าตา-นิสัย "คนไทย" เมื่อ 170 กว่าปีก่อน ในบันทึกของฝรั่ง

ศิลปวัฒนธรรม
อัพเดต 03 เม.ย. 2566 เวลา 03.41 น. • เผยแพร่ 02 เม.ย. 2566 เวลา 09.20 น.
ภาพจาก “ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงสยามในทรรศนะของชาวต่างประเทศ ระหว่างพ.ศ. 2383-2384 (ค.ศ. 1840-1841)” กรมศิลปากร 2525

“คนไทย” ด้วยกันเห็นหน้ากันนาน เห็นพัฒนาการที่เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป จนรู้สึกว่าไม่แปลก แต่ในช่วง 170 กว่าปีนี้ หน้าตาคนไทย, บุคลิกภาพคนไทย, นิสัยใจคอ เปลี่ยนไปมาก-น้อยเพียงใด แล้วสำหรับ “คนนอก” ภาพแรกที่เห็นและจดจำ “คนไทย” เป็นอย่างไร

ในบรรดาคนนอกทั้งหลาย มี นายเฟรริค อาร์เธอร์ นีล ชาวอังกฤษที่รักการท่องเที่ยว และการแสวงหาความรู้ เดินทางมายังกรุงเทพฯ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) ภายหลังรับราชการในกรมทหาร ตำแหน่งราชองครักษ์เจ้าฟ้าจุฑามณี (ภายหลังสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ที่เขียนเรื่องของ คนไทย ไว้น่าสนใจ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

หนังสือของนายนีลชื่อว่า “Narrative of a Residence in Siam” ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1852) โดยรวบรวมจากประสบการณ์ตรงที่ได้พบเห็น และค้นคว้าอ้างอิงเพิ่มเติมจากหนังสือของชาวต่างชาติ, บาทหลวงที่เดินทางเข้ามาไทยก่อนหน้า หนังสือของเขาได้แปลเป็นภาษาไทยโดยเรือเอกหญิงลินจง สุวรรณโภคิน ใช้ชื่อว่า “ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงสยามในทรรศนะของชาวต่างประเทศ ระหว่าง พ.ศ. 2383-2384 (ค.ศ. 1840-1841)” (กรมศิลปากร 2525) ซึ่งขอคัดย่อบางส่วนมานำเสนอ (โดยมีการจัดวรรคตอนใหม่เพื่อสะดวกในการอ่าน) ดังนี้

นายนีล กล่าวถึงหน้าตา และนิสัยของ “คนไทย” กับคนชาติอื่นในภูมิภาคอีกด้วยว่า

“คนสยามเหมือนพวกมะลายูที่มีโหนกแก้มสูงและจมูกแบน ตาเหมือนพวกคนจีน รูปร่างเหมือนพม่า…ถึงรูปร่างหน้าตาจะดูแบบเดียวกับคนมะลายู แต่ก็ไม่มีนิสัยชอบแก้แค้นเหมือนคนมะลายู และก็ไม่เคยจับคนผู้เคราะห์ร้าย 20 คนมาบูชายัญ เพียงเพื่อจะให้คลายความเจ็บปวดเสียใจของเขา ใครที่ไม่เคยรู้จักความหมายของคําว่า ‘วิ่งไล่คนเถื่อน’ คงจะรู้เมื่อคนมะลายูวิ่งโลดไล่ตามถนนในมือถือกริชคม และพุ่งเข้าแทงทุกอย่างที่เข้ามาขวางหน้าการตามล้างแค้นของเขา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ส่วนคนสยามนั้นหาเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นคนที่เก็บเอาความโกรธเกลียดชังไว้เช่นนั้น ช่วงที่ข้าพเจ้ามาอยู่ที่บางกอก ข้าพเจ้าจําได้ว่ายังไม่เคยเห็นคนสยามต่อสู้หรือทะเลาะเบาะแว้งกันเลย พวกเขาได้รับการสั่งสอนกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ให้เป็นคนอยู่ในโอวาท เคารพผู้มีอายุสูงกว่า ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินลงมาจนถึงคนที่สูงกว่าเขาเพียงขั้นหนึ่งก็ตาม และสําหรับคนที่ด้อยกว่าเขาก็จะได้รับการเคารพเช่นเดียวกับที่เขาทํากับคนอื่น…”

นายนีลยังกล่าวถึงความคิดเรื่อง “การออกกำลังกาย” ของไทยขณะนั้นว่า

“พวกเรากินอาหารเช้ากับนายฮันเตอร์ [โรเบิร์ต ฮันเตอร์-พ่อค้าชาวอังกฤษ ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอาวุธวิเศษประเทศพานิช]เวลา 10โมงเช้าทุกวัน และหลังจากนั้นเมื่อผู้คนที่อยู่ในเรือนแพขึ้นมาที่บ้านบนบกแล้ว เราก็ออกเดินเล่นกลับไปกลับมากันอยู่ตรงเฉลียงบ้านที่เขาทำขึ้นใหม่อย่างสวยงาม เป็นการออกกำลังกายและสนทนากันอย่างสนุกสนานกันสักครึ่งชั่วโมง…

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

มีพ่อค้าจีนรูปร่างอ้วนใหญ่ผู้หนึ่งมาแสดงความเสียใจต่อนายฮันเตอร์ โดยแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในการที่ต้องถูกบังคับให้ต้องเดินในช่วงที่อากาศร้อนจัด และยังปลอบใจว่าฤดูมรสุมกำลังมาถึงแล้ว ฉะนั้นอากาศก็จะค่อยเย็นขึ้น ฉะนั้นความเหน็ดเหนื่อยต่างๆ ที่เกิดจากการออกกำลังกายทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงนั้นก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

คนที่เกียจคร้านก็ชอบใช้เวลาให้หมดไปด้วยการนั่งเอกเขนกเป็นรูปปั้น (เพราะสำหรับในบ้านลอยน้ำเช่นนั้น หรืออาศัยอยู่ในเรือส่วนใหญ่ก็ชอบนั่งแบบเอาขาซ้อนกัน [นั่งขัดสมาธิ]) การออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การยิงปืน ขี่ม้า หรือเดินนั้นเป็นปัญหาสำหรับคนเหล่านี้ เพราะเป็นการเกินความสามารถของเขา และที่สำคัญก็คือ ถ้าใครออกไปเดินเล่นคราวละครึ่งไมล์ ก็จะถูกหาว่าเป็นบ้า ทั้งๆ ที่เขามีอย่างอื่นที่จะทำได้ดีกว่า เช่น พายเรือในระยะทางเท่าๆ กัน แล้วนั่งให้สบายๆ ในเรือ”

เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองสยามของลาลูแบร์ ซึ่งนายนีลค้นคว้า และเขียนไว้ตอนท้ายของหนังสือของเขา ในหัวข้อ “ลักษณะท่าทางของคนสยาม” ว่า

“ชาวสยามมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก แต่ก็ได้ส่วนสัด ทั้งนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่า เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เอาผ้าห่อตัวไว้ตั้งแต่เขายังเล็กๆ วิธีการที่เราดูแลเด็ก ของเรานั้นไม่ค่อยจะได้ผลเหมือนกับที่ชาวสยามทิ้งเด็กไว้ให้เติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ

รูปหน้าของทั้งชายและหญิงค่อนข้างเป็นรูปไข่มากกว่าเป็นรูปขนม เปียกปูน โหนกแก้มกว้างและสูง แต่หน้าผากกลับแคบและเรียวแหลมขึ้นไป คล้ายๆ กับปลายคาง นัยน์ตาเล็กแต่ไม่ค่อยมีแววกระตือรือร้น ส่วนที่เป็นตาขาวนั้นโดยทั่วๆ ไปก็มักจะเป็นสีเหลือง ขากรรไกรดูลึกเพราะอยู่สูง ปากกว้าง ริมฝีปากหนาและซีด ฟันก็เป็นสีดํา ผิวหยาบแลดูเป็นสีน้ำตาลปนแดง ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นเพราะตากแดดอยู่ตลอดเวลา

ผมของเขาสีดํา หนา และเหยียดตรง ทั้งชายและหญิงต่างก็ไว้ผมสั้น ปล่อยเพียงแค่ใบหู เท่ากันรอบศีรษะ ต่ำกว่าลงมาก็โกนเสียเกลี้ยง และดูท่าทีพวกเขาก็ชอบใจกับผมทรงนี้อยู่ สําหรับหญิงนั้นตรงหน้าผากมักจะเสยผมเอาไว้ให้ตั้งตรง แต่ก็ไม่ได้รัด บางคนก็ปล่อยให้ยาวไปทางด้านหลังแล้วก็ขมวดไว้ พวกคนหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจะเอาไว้ตามธรรมเนียมในกรณีพิเศษเท่านั้น เขาใช้กรรไกรตัดผมออกหมดจนเกือบหมดศีรษะ และจะเหลือผมตรงกลางไว้กระจุกเล็กๆ เท่าเหรียญสองคราวน์ ผมกระจุกนี้จะปล่อยยาวไปจนเกือบจะถึงไหล่ เนื่องจากอากาศร้อนชาวสเปนจึงมักจะชอบโกนผมแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่เขาไม่เหลืออะไรไว้เลย

เรื่องฟันนั้นพวกเขาดูแลเป็นอย่างดีทั้งๆ ที่ทําให้มันดํา เขาสระผมด้วยน้ำและน้ำมันหอมเช่นเดียวกับชาวสเปน ใช้หวีที่ซื้อมาจากเมืองจีน ซึ่งหวีชนิดนี้แทนที่จะมีลักษณะเหมือนหวีของพวกเรา กลับเป็นหวีที่มีเล็กๆ มากมาย ผูกให้ติดกันไว้ด้วยลวด พวกเขาชอบถอนหนวดทั้งๆ ที่ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่กลับไม่ชอบตัดเล็บ แต่พอใจที่จะรักษาเล็บให้สะอาดเสมอ”

และในหัวข้อ “ลักษณะโดยทั่วไปของคนสยาม” ที่เขียนไว้ดังนี้

“ ‘คนสยามโดยทั่วๆ ไปแล้วเป็นคนรู้จักประมาณตนมากกว่าพวกเรา อารมณ์ขันของพวกเขาสงบเงียบราวกับท้องฟ้าของพวกเขา’ ซึ่งเปลี่ยนไปเพียงปีละ 2 ครั้ง และไม่รู้สึกเลยว่ามันค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ จากหน้าฝนไปสู่อากาศเย็นสบาย และจากอากาศเย็นสบายก็มาถึงหน้าฝนอีก…”

นี่คือ “ความคิดเห็น” ของฝรั่งที่เข้ามาในเมืองไทย และเห็น “คนไทย” ในเวลานั้น โดยไม่มีผิด-ถูก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 พฤษภาคม 2562

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 12
  • สมัยนี้ชอบทำจมูกใหญ่ แบบยุโรป และทำหน้าแหลม แบบเดียว กันทั้งสยาม ดู เหมือนหน้ากาก มาใส่ไว้ และ ชอบ ฉาย รูป ของ เขาเอง อวดกัน ชาวสยาม เปลี่ยนไปมาก ข้าพเจ้ามิอาจคาดเดา ว่า หน้าตาเหมือนกันหมด แล้ว จะแยก ออกได้อย่างไร ว่า ใครเป็นใคร
    31 พ.ค. 2562 เวลา 16.31 น.
  • Piti
    จากยุคสยามสู่ยุคสยอง หน้าพลาสติกเหมือนกันหมด
    07 ต.ค. 2563 เวลา 22.02 น.
  • Auddoo
    ชอบครับ อ่านแล้วมีความสุขดี
    07 ต.ค. 2563 เวลา 05.09 น.
  • Ake
    ผิดกับคนไทยสมัยนี้หัวร้อนกันเหลือเกินน่าจะเอาซ้งติงยัดปากให้ใจเย็นลงหน่อย
    31 พ.ค. 2562 เวลา 12.07 น.
  • วิชิต
    คนไทยสมัยนี้แค่มองหน้าก็ยิงกันตายแล้ว
    03 เม.ย. 2566 เวลา 20.02 น.
ดูทั้งหมด