Juwai.com เว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาฯอันดับหนึ่งจากชาวจีน เผยข้อมูลปี 61 อสังหาฯไทยได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอันดับ 1 และเป็นอันดับ4 ที่จีนเข้ามาลงทุน คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ โดยกรุงเทพฯยังมีพื้นที่น่าลงทุนอันดับแรก ระบุเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจระยะยาว
นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ บริษัท Juwai.com เปิดเผยว่าข้อมูลจาก Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งสำหรับชาวจีน ในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งเข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ
จากข้อมูลในปี 2559-2560 พบว่าประเทศไทย ได้ถูกจัดอันดับความนิยม ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และในปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ
ข้อมูลล่าสุดของปี 2561 ยังพบว่า ประเทศที่ชาวจีน เข้าไปลงทุนมากที่สุด ประกอบด้วย
- สหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์
- ฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์
- ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์
- ไทยมูลค่า2.3 พันล้านดอลลาร์
- มาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์
นางแคร์รี่ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความนิยม ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นลำดับ 4 จากมูลค่าการลงทุน โดยกรุงเทพฯ เป็นมหานครแถวหน้าของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันกรุงเทพฯ ประสบปัญหาเรื่องมลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ ซึ่งผู้ซื้อชาวจีนคงไม่อยากเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อไปพบปัญหาอากาศเสียเหมือนกับที่เขาเผชิญอยู่
อีกปัจจัยหนึ่ง ที่นักลงทุนชาวจีนสนใจชื่นชอบอสังหาฯไทย คือ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเชื่อมั่นเรื่องศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
จากข้อมูล Juwai.com พบว่าในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกง ได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย จำนวน 15,000 ยูนิต เป็นสัดส่วนถือครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่ง ของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในประเทศไทย
หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีนและฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุน อันดับ 1 คือ กรุงเทพ รองลงมาคือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ
“เราไม่เคยเห็นความต้องการของผู้ซื้อชาวจีน ต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูงขนาดนี้มาก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับปัจจัยอื่นที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้ซื้อชาวจีน ที่กำลังมองหาทำเลในต่างประเทศ ให้ความสนใจประเทศไทยในเรื่องราคาที่หลากหลาย เมื่อเทียบเท่ากับประเทศอื่น” นางแคร์รี่ กล่าว
นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Thailand e-Business Center (TeC) Project collaboration with Alibaba Business School เลขาธิการสมาคมดิจิทัลไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จอยฟูลเนส จำกัด กล่าวว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศจีน ให้ประสบผลสำเร็จได้ จะเป็นใบเบิกในการดำเนินธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง และเหตุผลทำไมต้องเป็นประเทศจีน มาจากคำว่า China
C คือ Chance หากย้อนไปอดีต จีนจะเป็นประเทศที่ไม่น่าไป ล้าหลัง เป็นประเทศที่ Copycat และมีมลพิษทางอากาศ แต่ช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาหลายด้าน ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แรงงาน และมลพิษลดลง ด้วยนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์
H คือ Huge จีนเป็นประเทศแผ่นดินใหญ่ และมีจำนวนประชากรมาก ทำให้กำลังการซื้อและการขายมีมาก ทำให้เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรม
I คือ Internet ระบบอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานจำนวน 731 ล้านคน และใช้ซื้อของออนไลน์จำนวน 448 ล้านคน มูลค่ารวมการบริโภค 3 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าซื้อขายออนไลน์ 7.59 แสนล้านดอลลาร์
N คือ Network ได้พัฒนาระบบต่างๆ รวมถึงระบบการค้าในรูปแบบ e-Commerce เพื่อให้ประชากร ได้ใช้งานอย่างหลากหลาย และเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว
สำหรับแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการสั่งซื้อของประกอบด้วย
- Taobao มีจำนวนผู้ใช้งาน 450 ล้านคน
- JD.com มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน
- Kaola มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน
รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านระบบ E-payment ใน Alipay มีผู้ใช้งาน 350ล้านคน WeChat Pay มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า เครือข่ายของการซื้อขายของธุรกิจในจีน เต็มวงจรและมีกลุ่มผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก
A คือ Advertising & Affiliate นอกจากการเจริญเติบโตในประเทศตัวเองแล้ว จีนยังผลักดันธุรกิจของตนกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในแต่และประเทศ ส่งเสริมและช่วยเหลือทางธุรกิจ และเทคโนโลยี อาทิ การเข้ามาของ Alibaba ในประเทศไทย
ปริมาณสินค้าทั้งหมดของทุกแพลตฟอร์ม มีจำนวน 3.14 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีที่แล้ว Tmall 68% ของส่วนแบ่งการตลาด แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด แพลตฟอร์มใหม่ในการเข้าร่วมความนิยม e-Commerce นี้คือ Pinduoduo โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 3.0%
ผู้เล่นรายใหญ่อันดับสองของ JD.COM ก็มีปีที่ทำลายสถิติเช่นกัน GMV สูงถึง 159.8 พันล้านหยวน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 17.3%
“นี่คือเหตุผลทั้งหมด ที่ไทยควรผลักดันให้ทำธุรกิจในประเทศจีน” นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าวและว่า สิ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการ ผลักดัน GDP ของประเทศไทย และการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า แต่ได้คุณภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งได้โอกาสในศึกษาเทคโนโลยีจากจีน เพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทยต่อไป
โดย TeC สามารถให้การปรึกษาในการทำธุรกิจที่จีน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการทำเอกสาร รวมถึงวิธีการทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากจากชาวจีน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงไม่มีใครไม่รู้จัก Wechat ที่ยอดผู้ใช้ในปัจจุบันถือว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างมาก จาก ปี 2554 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 50 ล้านคน ในปี 2560 มีสูงถึง 963 ล้านคน โดยใช้ระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น
นายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้ ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย กระจายไปตามทำเลที่คุ้นเคย หรือตามทำเลที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูตจีน รวมถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และ MRT ที่เดินทางได้สะดวก
แต่ในระยะหลังพบว่า การเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจ หรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ ให้นักลงทุนชาวจีน ได้แก่
- ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์ เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
- นายหน้าทั้งไทยและจีน ที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขาย ทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่นๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
- ผู้ประกอบการชาวจีน มีส่วนในการผลักดันหลายๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน
- ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีน เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี
รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาฯ ทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ทำให้ในอนาคตเชื่อได้ว่าผู้ซื้อคนจีน จะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย หัวหิน กระบี่ เท่านั้น คาดทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองแต่ละภูมิภาคด้วย
อนาคตเชื่อได้ว่าผู้ซื้อคนจีน จะกระจายไปทุกพื้นที่ทุกทำเลของกรุงเทพฯ เมืองท่องเที่ยว และหัวเมืองรองแต่ละภูมิภาค
“การขยายตัวของกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนในอนาคต อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน การลดลงของค่าเงินหยวน มาตรการควบคุมของรัฐบาลจีน และความเข้มงวดของรัฐบาลไทย แต่สุดท้ายแล้วคนจีน จะยังคงสนใจมาเที่ยวประเทศไทย และซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันอาจจะมีปัญหาติดขัดบ้าง จากทั้งฝั่งไทยเองและฝั่งประเทศจีน” นายสุรเชษฐ กล่าว
... เป็นเรื่องน่าเศร้า
23 ม.ค. 2562 เวลา 01.44 น.
cob สักวันเขาติดป้ายห้ามคนไทยเข้าที่ของเขาคงดูไม่จืด แต่เขาคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ ผมคงคิดมากไปเองครับ
23 ม.ค. 2562 เวลา 01.43 น.
🏞🌾🐇 Completed ดีตรงไหนให้ต่างชาติมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าแบบมีระยะเวลาก็ว่าไปอย่าง เงินทุนไหลเข้ามาก็รวยแต่นักธุรกิจ แล้วก็กว้านซื้อที่ทำต่อไป แล้วก็ขายให้ต่างชาติ พวกเจ้าหน้าที่รัฐมันไม่คิดให้ไกลๆ นี่เรากำลังขายอสังหาริมทรัพย์ให้ต่างชาติ อีกต่อไปลูกหลานไทย คงต้องเช่าคนต่างชาติอยู่ รวยเฉพาะนักธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่ม หมดกันประเทศไทยที่บรรพบุรุษทำสะสมมาไว้ให้ทำกิน แต่มาแพ้เงินต่างชาติ
22 ม.ค. 2562 เวลา 19.51 น.
กฤติเดช สุขเนืองนอง ข้อกำหนด ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย ถ้าหละหลวม วันไหนต่างชาติทิ้ง วันนั้น ไทย ฉิบหายแน่ รัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ
22 ม.ค. 2562 เวลา 18.36 น.
eka ดีครับ คนไทย เช่าจีนอยู่ต่อไป สมน้ำหน้าประเทศไทย คนไทย
22 ม.ค. 2562 เวลา 13.52 น.
ดูทั้งหมด