"นายกรัฐมนตรี" สั่งเข้ม!! เตรียมพร้อมป้องกันระบาดของ "โควิด" ระลอก 2 หลังเปิดเทอม 1 ก.ค.นี้ ยันใช้ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" เพื่อควบคุมโรค ไม่มีจุดประสงค์อื่น
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ของรัฐบาลว่า ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเป็น 0 มาเกิน 30 วันแล้ว ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและประเทศในอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ยังต้องเตรียมพร้อมตั้งรับ กรณีที่อาจเกิดการแพร่ระบาดระลอกสองได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันเริ่มเปิดเรียน และจะผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมอีกหลายประเภท จึงขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องยังคงมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันดูแล
"นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมว่า แม้สถานการณ์ในประเทศจะดีขึ้น แต่ขอให้ทุกส่วนสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่าทั่วโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ขอให้ประชาชนเข้าใจเจตนาของรัฐบาลที่ไม่ได้มีข้ออ้างในการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น มีเพียงความจำเป็นเพื่อการป้องกัน ควบคุมโรค ไม่ให้แพร่ระบาดกลับเข้ามาใหม่ และขอให้กระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง(ศปม.) ร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อไป" โฆษกรัฐบาล กล่าว
นางนฤมล กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งราชการ ประชาชนที่ร่วมมือกันอย่างแท้จริงจนประสบความสำเร็จในวันนี้ เห็นผลการดำเนินการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศรอคอยความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุนอาเซียน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งถือเป็นสินค้าเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ทั้งนี้ ไทยได้บริจาคเงินหนึ่งแสนดอลลาร์เพื่อสนับสนุนกองทุนดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย โดยขอให้บูรณาการการทำงาน ความร่วมมือ และระดมทรัพยากรทุกภาคส่วนของประเทศไทยในการคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคอย่างจริงจัง หากร่วมมือร่วมใจกันอาจจะส่งผลให้การวิจัย และพัฒนาของไทยประสบผลสำเร็จเร็วขึ้น
"ส่วนมาตรการ Work From Home ที่เริ่มผ่อนคลายลง ขอให้พิจารณาใช้มาตรการเหลื่อมเวลาให้เกิดประโยชน์ ควบคู่ไปกับดูแลเรื่องการเดินทางของประชาชนไม่ให้เกิดความแออัดในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ส่วนการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ที่อาจยังมีประชาชนที่ยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางเพื่อรับความร่วมมือต่อไป โดยย้ำว่าข้อมูลของประชาชนต้องเป็นความลับ และขอให้เจ้าหน้าที่เคร่งครัดการดำเนินมาตรการ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการลงโทษหากเจ้าของกิจการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด" นางนฤมล กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งพิจารณากลั่นกรองแผนงาน หรือ โครงการการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยให้คำนึงถึงการนำไปสู่เป้าหมายและทิศทางของประเทศไทยภายหลังวิกฤติโควิด เพื่อใช้งบประมาณนี้เสริมโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยภายหลังวิกฤติ
โดย นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางการดำเนินการตามมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 เพื่อให้ประชาชนดำรงชีวิตได้ปกติ เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่กิจการ กิจกรรมในระยะนี้มีความเสี่ยงสูง จึงขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องอธิบายสร้างการรับรู้แก่ประชาชนว่ามีความจำเป็นต้องกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการระบาดระลอกใหม่
ส่วนการผ่อนคลายให้คนต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักร ขอให้ศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจากเหตุผล ความจำเป็น ความเร่งด่วน และในส่วนของมาตรการผ่อนคลายเพื่อการท่องเที่ยวจะต้องพิจารณาต่อไป
"ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายร่วมกันเตรียมความพร้อมทุกระยะ ทั้งระบบการจัดการที่ต้องรัดกุม ต้องเตรียมเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันติดตามตัวบุคคลในกรณีที่เปิดให้เข้าออกประเทศเพื่อธุรกิจหรือการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าเพื่อการควบคุมป้องกันในอนาคต" นางนฤมล กล่าว
ด้านนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ได้ย้ำว่า ศบค. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานในรูปแบบ New Normal หรือการทำงานในชีวิตวิถีใหม่ รับฟังผู้ที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นนวดแผนโบราณ ศิลปินนักร้อง ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม เพื่อนำสู่กระบวนการการพิจารณาตัดสินใจแนวทางต่างๆ
โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ที่เชื่อมโยงกับโควิด-19 นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดัน 3 แนวทาง ได้แก่
1. ส่งเสริมอาเซียนให้เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง
2. สร้างความเข้มแข็งจากภายใน
3. สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียนในระยะยาว
ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เน้นแก้ไขปัญหาในกลุ่มเปราะบาง นโยบายในการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19 เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการทำวิจัยพัฒนาวัคซีน การทำงานที่บ้าน (Work from Home) การใช้แพลตฟอร์ม และ แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" รวมทั้งการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ เร่งกลั่นกรองแผนงานและเสริมโอกาส และศักยภาพไทย หลังภาวะวิกฤติโควิด-19 อันได้แก่ Medical Hub การเป็นแหล่งอาหารของโรค และการท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
56N&M6915 ระบาดห่าไร กลัวม๊อบชัดๆ
29 มิ.ย. 2563 เวลา 12.36 น.
BOYประกัน อ้างกลัวเปิดเทอมเปิดกิจการ
กำลังโทษและดูถูกคนไทยด้วยกัน แต่ยกย่องต่างชาติ โดยไม่กลัวแล้วให้เข้าประเทศ เสียชาติเกิดเป็นคนไทย
29 มิ.ย. 2563 เวลา 13.22 น.
R.love (BCC) ท่าทางคงกลัวม๊อบมากกว่า
29 มิ.ย. 2563 เวลา 13.10 น.
อุบลรัด สุทินเผือก กรูคนนึงละไม่เชื่อที่มึงพูดสักคำำ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน
29 มิ.ย. 2563 เวลา 13.14 น.
S.A ถ้าท่านไม่รีบเปิดน่านฟ้า ก็คงไม่มีหรอกรอบ2 รอบ3
29 มิ.ย. 2563 เวลา 13.45 น.
ดูทั้งหมด