“เอินกัลยกร” กับเพื่อนเก่าสุดหลอนที่ทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอดอย่าง“โรคซึมเศร้า”
“…เคยเห็นวันที่ฟ้ามันไม่ค่อยสว่างรึเปล่าคะปรกติชีวิตพี่ก่อนเริ่มรักษาโรคซึมเศร้ามันเป็นชีวิตแบบนั้นน่ะแต่ถ้าเผลอมีอะไรมาสะกิดหรือกระแทกเราขึ้นมาเราจะกระโดดเข้าไปอยู่ในที่ที่มันมืดที่สุดเท่าที่มันจะมืดได้มีห้องก็เข้าห้องล็อกประตูลองนึกภาพชีวิตตัวเองที่เศร้าเสียใจที่สุดในชีวิตกันนะแล้วพี่อยากให้คูณเข้าไปอีก…”
นี่คือประโยคแรกเมื่อเราได้นั่งพูดคุยถึงภาวะอาการของโรคซึมเศร้า “เพื่อนเก่าที่ไม่ได้รับเชิญ” ของเอิน– กัลยกรนาคสมภพ ศิลปินเจ้าของพบเพลงฮิต ทั้ง “เพื่อนรัก” “ขอโทษ” และ “กับคนนิสัยไม่ดี” และผลงานแสดงที่เธอได้ฝากไว้ก่อนห่างหายจากวงการไปร่วมสิบกว่าปี และได้เผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้าที่คุกคามเธอมานาน จนในวันนี้ เธอเลือกฝากเรื่องราวเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง แล้วกลับมาร่วมพูดคุยกับเราอีกครั้ง ถึงสิ่งที่ได้รับจาก “โรคซึมเศร้าที่เธอเพิ่งจะเข้าใจ”
“ซึมเศร้า” โรคที่เข้ามาโดยไม่รู้ตัว
“…ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหรือแม้แต่ตัวพี่เอง มันมักจะเริ่มจากการไม่รู้ตัว มันเป็นโรคที่มีอาการทางอารมณ์ ไม่เหมือนกับเราเป็นแผลที่ตัว หรือคลำไปแล้วเจออะไรที่ผิดปรกติ ซึ่งคนทั่วไป เค้าก็มีอารมณ์โศกเศร้า เสียใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะมาวัดว่าเราอยู่ในจุดที่ไม่ปรกติแล้ว มันยาก เราวัดไม่ได้เลยว่าสิ่งนี้เป็นโรค หรือเป็นอาการ แต่สิ่งที่ถ้าเกิดขึ้นกับเราแล้วในทางการแพทย์จะบอกเลยว่านี่เป็นตัวชี้วัดได้แล้ว ว่าคุณไม่ปรกติก็คือ ถ้าเมื่อไหร่มันเริ่มกระทบชีวิตประจำวันเราใช้ชีวิตปรกติไม่ได้ เราไปทำงานไม่ได้เราทำสิ่งที่มีความสุขแล้วกลายเป็นไม่มีความสุขโดยที่มีระยะเวลาชัดเจนคือสองสัปดาห์ขึ้นไป นั่นหมายความว่าคุณเริ่มมีอาการของโรคแล้ว เพียงแต่โรคนี้จะทำให้เรามีอาการระยะสั้นหรือระยะยาวก็แล้วแต่คน เป็นโรคที่ค่อนข้างจะอินดี้เนอะ (หัวเราะ)…”
ภาวะสำคัญของโรคคือ “การควบคุมตัวเองไม่ได้”
“…มันเป็นความเศร้าแบบควบคุมไม่ได้ อยากจะควบคุมให้ได้ แต่มันทำไม่ได้ มันจะไม่เหมือนกับบางคนที่เศร้าแล้วอินจังเลย ดีจังเลย เล่น MV ไป แต่เราอยากหลุดมากแล้วพอหลุดไม่ได้เราก็จะโกรธตัวเองเข้าไปอีกโทษตัวเองว่าทำไม“ตกหลุม” (อาการที่พี่เอินใช้เรียกภาวะของโรคเมื่อกำเริบ) ไปแบบนั้น เลวร้ายที่สุดคือคนที่ทำร้ายตัวเองเลวร้ายที่สุดคือคนที่ฆ่าตัวตาย เพราะพี่เองก็เคยมีจังหวะที่ไปถึงตรงนั้นเหมือนกัน มันคือมวลความอึดอัดที่ไม่มีทางออกได้ แล้วก็รู้สึกอยากจะตายๆ ไปให้จบๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดี และการไปถึงตรงนั้นมันไม่ได้ไปกันง่ายๆ…”
โรคซึมเศร้าที่หลายคนเข้าใจผิด
“…โรคนี้ไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทยที่ไม่ค่อยเข้าใจทั่วโลกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่สำหรับประเทศเราเป็นเรื่อง โคตรรรร (ลากเสียง) ใหม่ ! เรามีคนฆ่าตัวตายมาตลอดในประวัติศาสตร์ เชื่อว่ามันมีโรคนี้มาตลอด แต่ไม่มีชื่อเรียกมันอย่างในปัจจุบัน มันก็เลยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้อยู่มาก
อย่างแรกเลย “ซึมเศร้าเป็นโรคของชนชั้นกลาง” คำนี้ได้ยินบ่อยมาก พี่มีเพื่อนแบบที่ไม่มีตังค์ติดตัว กับเพื่อนที่บ้านโคตรรวยเลย ก็ยังเป็นซึมเศร้า เพราะฉะนั้นไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นชนชั้นไหน มีรายได้เท่าไหร่ มันเป็นโรคที่คุกคามได้ทุกคน
“โรคแฟชั่น” คำนี้โคตรเกลียดเลย คิดไปเองรึเปล่า (หลับตานิ่ง สูดหายใจ) โรคแฟชั่นน่ะ แบบวันนี้ไม่มีไรทำน่ะ ตื่นมาวันนี้ กูเป็นซึมเศร้าดีกว่า งี้เหรอ (หัวเราะ) คนไม่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้า เวลามันเศร้ามันไปถึงระดับไหนไง คนเข้าใจกันว่าซึมเศร้าในระดับมองหน้าต่าง ฝนตก เสพความเศร้ากันไป มันไม่ใช่ไง ! หรือแบบคูลว่ะ เท่ดี ดาราเป็นกูเป็นบ้างดีกว่า เฮ้ย ! ไม่ใช่มั้งลูก
“โรคเรียกร้องความสนใจ” คนที่เป็นส่วนใหญ่ เท่าที่เราเคยเจอนะ ส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าเค้าเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเค้าไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง เค้าไม่ต้องการความสนใจ ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับชีวิตเค้า เพราะว่าการไปเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังเป็นเรื่องโคตรเปราะบางและการไปร้องไห้ให้ใครเห็นเป็นเรื่องโคตรอ่อนแอโคตรน่าอาย และเอาจริงๆนะ คนที่ต้องออกมาเรียกร้องความสนใจด้วยการบอกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า อันนี้ก็แสดงว่าเค้ามีปัญหาอะไรบางอย่างแล้วรึเปล่าวะ (หัวเราะ) ซึ่งสิ่งที่แนะนำเค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือบอกว่าเป็นเพื่อเรียกร้องความสนใจ คือทำยังไงก็ได้ ให้เค้าสบายใจที่จะไปหาหมอ…”
ไม่ว่าจะป่วยจะดีหรือจะบ้าทุกคนสามารถไปหาจิตแพทย์ได้หมด
“…จิตแพทย์มีไว้เพื่อช่วยเหลือชีวิตเราการไปหาจิตแพทย์ไม่ได้แปลว่าเราบ้าแต่ถึงบ้าแล้วไงวะ? การไปพบจิตแพทย์มันทำให้ชีวิตมึงดีขึ้นไม่ใช่เหรอ (หัวเราะ) มันเป็นในเรื่องของภาพลักษณ์มากกว่า คนเรามันไปผูกติดกับคำว่าบ้า คำว่าโรคจิต แล้วภาพลักษณ์ของทั้งสองคำนี้ในสังคมเรามันแย่ มันเป็นฆาตกรโรคจิต มันเลยทำให้คนกลัวการไปหาจิตแพทย์
ซึ่งการไปหาจิตแพทย์มันโคตรง่ายดายง่ายกว่าการไปหาหมอเพราะเป็นโรคหวัดอีก มันแค่คุย อย่างสบายใจด้วยนะ เอาเท่าที่เราโอเคในแต่ละวัน ไม่น่ากลัวอะไรทั้งสิ้น แล้วถ้าใครจะมาตราหน้าเราในการมาหาหมอว่ามึงบ้าเลิกคบมันไปค่ะ! ไอ้คนนี้ไม่มีประโยชน์กับชีวิตเราเลย! แล้วมันทำให้เราป่วยยิ่งกว่าเดิมด้วย (หัวเราะ) เพื่อนที่ดีคือคนที่จะอยู่เคียงข้างเราไม่ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร…”
คนข้างๆคือปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ป่วย
“…คนรอบข้างมีผลมากจริงๆในการจะทำให้คนๆนึงมีชีวิตอยู่ต่อไปการรับฟังเป็นสิ่งที่โคตรสำคัญ การทำให้เค้ารู้สึกว่า ตัวตนที่เค้ามีอยู่พอแล้ว ทำให้เค้ารู้สึกว่าสิ่งที่เค้าเป็นนั่นคือเพียงพอแล้ว ถ้ารักกันจริงๆนะ แต่ถ้าไม่จริงก็ไปเหอะ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายแล้วผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน่ะ แม้ในตอนแรกๆ เราต้องพึ่งพาใครสักคนหนึ่งเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ พอถึงจุดหนึ่งเค้าก็ต้องอยู่ได้ด้วยตัวของเค้าเอง ฉันจะต้องอยู่ได้เมื่อเธอไม่อยู่ ที่สุดคนที่เป็นโรคซึมเศร้าต้องมี Mindset นี้
อย่างตัวพี่เอง สิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้มันทำให้ชีวิตคู่เรามีปัญหา สามีพี่เคยร้องไห้ แล้วตบตัวเองเลยนะ ไหนดูซิ ตบตัวเองแล้วมันดียังไง พี่อึ้งเลย อ้าว กูตบตัวเองอยู่นะ เราจะมาตบตัวเองพร้อมกันสองคนไม่ได้ซิ (หัวเราะ) เพราะเค้าไม่รู้ว่าจะรับมือกับเราอย่างไร แต่เมื่อวันที่เรายอมรับกับตัวเองว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า แล้วเดินไปบอกเค้า เราสองคนรู้ว่าเราต้องจัดการกับมันนะ เค้ารับมือเราดีขึ้นเลยทันทีนะ อ๋อ มันเป็นเพราะโรค ไม่ใช่เพราะเอิน แล้วเราก็แค่รักษามัน…”
ให้เวลากับการรักษาให้เวลากับตัวเองได้ฟื้นฟูจิตใจ
“…คนเป็นโรคซึมเศร้ามันจะน่าเบื่อตรงที่เราไม่รู้ว่าจะต้องกินยาไปถึงเมื่อไหร่ เพราะว่าเมื่อเราเป็น ไม่ว่าจะสาเหตุใดๆ ทั้งความเครียด ทั้งชีวิต ทั้งครอบครัว ทั้งกรรมพันธุ์ ทั้งความป่วยไข้ของร่างกาย สุดท้ายมันจะเกิดปัญหากับสารเคมีในสมองเสมอ เปรียบเทียบง่ายๆ เวลาคนเรามีความสุขหรือเศร้าสารเคมีในสมองมันจะหลั่งออกมาพร้อมกันเสมอทีนี้ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองไปจมอยู่กับความเศร้าหรือต้องจมกับปัญหานานๆเข้าสมองมันก็จะหลั่งสารเวลาเราเศร้าออกมาถี่ๆจนสุดท้ายมันกลายเป็นกิจวัตรเหมือนหลั่งน้ำย่อยเวลาถึงมื้ออาหาร ดังนั้นถึงได้บอกว่าอย่าหยุดกินยา และอย่าหยุดพบแพทย์จนกว่าเค้าจะบอกว่าเราโอเคแล้ว ต้องให้เวลากับมัน กว่าเราจะกลายเป็นผู้โชคดีได้เป็นโรคนี้ (หัวเราะ) มันไม่ได้เป็นกันแบบไปเดินชนกำแพงหัวโน มันใช้เวลา ดังนั้นก็ต้องให้เวลากับการรักษามันด้วย…”
โชคดีที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะมันทำให้เราเข้าใจความทุกข์
“…โรคนี้ มันทำให้เรารู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร เวลาที่ทำให้ใครสักคนเสียใจมันเจ็บปวดขนาดไหน ความเสียใจนี่มันทำให้คนถึงตายได้เลยนะมันเลยทำให้เราไม่อยากเห็นใครเป็นทุกข์เราเลยกลายเป็นคนที่ดูแลคนรอบข้างมากๆ พี่ถึงบอกว่าโรคซึมเศร้านี่มันทำให้พี่เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนรักที่ดี อย่างตอนนี้เค้าต้องไปทำงานที่อินโดนีเซีย ซึ่งมันจะมีช่วงนึงเลยที่เค้าเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่เรารู้ว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร คือพี่ไม่ได้เก่งนะ ไม่ได้หายแล้วด้วย (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ยังกินยาอยู่ แต่ว่าพี่เป็นไง พี่เลยเข้าใจอาการ และรับมือกับอาการเหล่านั้นได้ถูก แล้วมันก็ทำให้เค้าพ้นจากภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า…”
RAQUE FORWARD จากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพื่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
“…ตอนแรกรู้สึกว่าทุกข์มากแล้ว แล้วมันเป็นหนึ่งในขั้นตอนการรักษาที่นักบำบัดเค้าจะให้เราหาว่าอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข เราก็จะมีศิลปะ การท่องเที่ยว การให้ ประมาณนี้ แล้วการให้มันชัดมาก พอหาเจอปั๊ปพี่ปรับชีวิตตัวเองเลย เริ่มจากให้อะไรเล็กๆน้อยๆ กับขอทานก่อน ทำประโยชน์นั่นนี่ แล้วก็โตขึ้นมาเป็น บริษัท Kal & Co Consultant ที่เรานั่งกันอยู่ในตอนนี้ โดยที่กำไร10 % จากบริษัทนี้เราจะเอาไปทำประโยชน์ให้สังคม
แล้วพอเกิดเหตุการณ์วันที่ 13 ตุลาคม 2559 อ่ะเนอะ เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้ว่า ที่ผ่านมาเราตัดสินใจที่จะให้ แต่ว่ามันยังไม่เพียงพอที่จะไปบอกคนรุ่นต่อๆ ไปว่า นี่คือแรงบันดาลใจของเรา แล้วก็เคยหานะว่าจะทำอะไรดี จนสุดท้าย อ้าวเฮ้ย ! ทำไมเราไม่ทำเรื่องโรคซึมเศร้าล่ะ เราก็เป็นโรคซึมเศร้า แล้วเราพบว่าสิ่งที่มีปัญหาที่สุดคือคนไม่เข้าใจโรคซึมเศร้าทำให้คนที่เป็นผู้ป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าเพราะสังคมมีอคติกับมัน แล้วก็เลยเกิดเป็น Brand เสื้อผ้า ชื่อ RAQUE ในระหว่างรอที่จะทำเสื้อผ้าออกมา เราก็เลยทำ RAQUE FORWARD เป็น Page เป็นงานสัมมนา เป็นสารคดี ให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้า เราอยากจะทำให้มากกว่าการให้ความรู้ไปเรื่อยๆ เป็น Project ใหญ่ของชีวิตเลยนะ วันที่เรามีสัมมนาแล้วมีผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ากับคนข้างๆที่ดูแลเค้ามาแล้วเค้าเดินมาบอกว่าเค้าได้รับประโยชน์ไปมันรู้สึกว่าโคตรดีเลยนะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า…”
เสียงหัวเราะและรอยน้ำตารื้นๆของ "พี่เอิน กัลยกร" ในวันนี้
ทำให้เราได้รู้ว่า เธอยังคงเป็นศิลปินคนเดิม ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีผลงานเพลง แต่ศิลปะจากชีวิตของเธอก็ยังคงโลดแล่นต่อไป
เคียงคู่กับชีวิตที่มีความสุขมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้ไม่จำเป็นจะต้องสุขมากมายอะไร ดังที่เธอกล่าวทิ้งทายกับโรคซึมเศร้า
เพื่อนเก่าที่ไม่ได้รับเชิญ แต่บังเอิญมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันว่า…
“…ไม่หายก็ได้ไม่เป็นไรหรอกค่ะเพราะว่าเราเข้าใจมันตั้งแต่เรารักษามันเรามีชีวิตที่สงบสุขมากยิ่งขึ้น
ถ้ามันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆมันก็มีความสุขมากกว่าเมื่อก่อนไม่รู้กี่เท่าแล้ว…”
Ing Chanchalotorn และอย่าได้มีใครไปด่าไปว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าโดยเด็ดขาดเลยนะ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าโรคนี้ไปเยือนคุณๆ ทั้งหลาย ก็อย่า
มาหาว่าเราไม่เตือนละกัน เพราะโรคซึมเศร้านี้สามารถเป็นกัน
ได้ทุกคน และการไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด
ทุกวันนี้เราก็ยังไปหาไปคุยกับหมออยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่กินยาหมอ
มานี่ยอมรับว่า ชีวิตเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่แค่สลับเวลา
กลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน เท่านั้น และที่เรามา
บอกมาเล่าให้คุณๆ ทุกคนฟังก็เพื่ออยากให้คุณๆ ทั้งหลายเข้าใจ
คนที่เป็นหรือกำลังจะเป็นโรคซึมเศร้า
12 ก.ค. 2561 เวลา 11.52 น.
ีSukee เค้าจะอ้วนจะผอมทำไมต้องไปเผือกกับเค้าด้วยว่ะ
12 ก.ค. 2561 เวลา 11.32 น.
Ing Chanchalotorn กรุณาอย่าไปซ้ำเติมคนที่เป็นโรคซึมเศร้ากันเลยนะคะ อยากให้คุณๆ ทุกคนเข้าใจหัวอกคนเป็นโรคซึมเศร้าด้วย แต่ตอนนี้เรามีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย เพราะเรามีธรรมมะเป็นเพื่อน เรากำลังพยายามให้ธรรมมะรักษาใจรักษากายของเราอยู่ และมันทำให้เราเรียนรู้ว่า ถ้าไม่เจอกับความทุกข์ ก็จะไม่มีวันรู้เลยว่า ความสุขมันเป็นยังไง และเราก็โชคดีที่ได้พบกับธรรมมะ ได้พบกับสัจธรรมที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์แล้วด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻🙏🏻
12 ก.ค. 2561 เวลา 12.02 น.
เกลียดทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เกลียดคนทุกคนที่เข้ามาในชีวิต
12 ก.ค. 2561 เวลา 11.11 น.
Papha เกือบไปค่ะ.ดีที่รู้ทัน.คนในครอบครัว(ลูกๆ)เข้าใจ.น่ากลัวนะคะโรคนี้.ต้องกินยาพบแพทย์ตามนัด.ไม่รู้จะต้องรับยาอีกนานแค่ใหน.ไม่อายค่ะยอมรับว่าเป็นโรคนี้.
12 ก.ค. 2561 เวลา 12.15 น.
ดูทั้งหมด