ย้อนกลับไปวัยเด็กเมื่อปี 1978 ตอนที่ผมอายุ 13 ปี ผมวาดภาพรถ Mercedes-Benz ในอนาคตส่งไปประกวดที่ประเทศเยอรมนีแล้วได้รางวัล ทำให้ผมมีความฝันและเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเมื่อโตขึ้นผมจะเป็นนักออกแบบรถยนต์คนแรกของประเทศไทยให้ได้ และจะสร้างรถสปอร์ตเป็นของตัวเอง บวกความเชื่อ (ตามประสาเด็กอายุ 13) ว่าประเทศไทยสามารถสร้างรถยนต์ และมีแบรนด์รถยนต์เป็นของเราเองได้เหมือนประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมเรียนจบและเริ่มทำงาน ผมก็เริ่มมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่า “มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเมืองไทยในชาตินี้…ที่จะมีแบรนด์รถยนต์ (แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน) เป็นของตัวเองในแบบที่มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ระดับโลก!”
*กระดูกคนละเบอร์ *
อุตสาหกรรมรถยนต์นั้นเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งประเทศเหล่านี้มีการพัฒนารถยนต์ (แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน) มานานนับร้อยกว่าปีแล้ว และไม่ได้มีเพียงแค่แบรนด์เดียว แต่ละแบรนด์นั้นก็มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีรถยนต์ และประสบการณ์ด้านการตลาดต่างๆ ในระดับสูงจนยากที่แบรนด์น้องใหม่จะตามทัน หรือเรียกได้ว่า ‘กระดูกคนละเบอร์’ แต่ก็ยังมีน้องใหม่ที่มีความฝันอยากเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซียเพื่อนบ้านของเราที่มีรถยนต์แห่งชาติเป็นครั้งแรกด้วยแบรนด์ Proton ในปี 1985 แต่ต่อมาก็ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดโลก แต่ก็ต้องขอนับถือในความกล้าของเขาที่จะสร้างฝันให้เป็นจริง ถึงแม้ว่าโอกาสในความสำเร็จนั้นจะมีเพียงแค่น้อยนิดก็ตาม
สำหรับในกรณีของเมืองไทยนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมีรถยนต์แห่งชาติไปตั้งแต่ที่รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากทั่วโลกมาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในบ้านเรา ทำให้ไทยขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการประกอบรถที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย และถูกขนานนามว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ นั่นเอง สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบที่เรียกว่าเกือบจะครบทั้งคัน รวมไปถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาสำหรับตลาดในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะอีกด้วย
คนไทยหมดหวังกับรถยนต์แห่งชาติแล้วจริงๆ หรือ?
ตอบได้ว่า 100% ไม่มีทางแล้วสำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน แต่เดี๋ยวก่อน! ถ้าเป็นรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ล่ะ? ขอตอบว่าก็ยังมีสิทธิ์อยู่ และเค้าโครงแห่งความเป็นไปได้ก็เริ่มเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 1996 (22 ปีที่แล้ว) เมื่อบริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (EVT) ได้ติดต่อผมให้เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบรถไฟฟ้าขนาดเล็กของไทย โดยอาศัยระบบมอเตอร์ไฟฟ้าจากรถกอล์ฟในเวลานั้น โดยทางผู้บริหารมีไอเดียที่ว่า อยากจะเริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของไทยให้สำเร็จในระดับโลก เพราะในเวลานั้นเทคโนโลยีเรื่องรถไฟฟ้านั้นยังเป็นเพียงแค่ยุคเริ่มต้น ดังนั้นทุกบริษัททั่วโลกก็เริ่มพร้อมๆ กัน เช่นเดียวกับคนไทยที่จะมีโอกาสสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นแบรนด์ของคนไทยจริงๆ (ไม่เหมือนกับเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนามาเป็นร้อยปีจนเราตามไม่ทันแล้ว) แต่น่าเสียดายที่มีเหตุผลใดก็ไม่ทราบที่ทำให้โครงการนี้หยุดไป
ต่อมาไม่นานผมก็มีโอกาสได้ทำโปรเจกต์รถเพื่อเข้าพิธีสวนสนาม โดยให้ดัดแปลงรถโฟล์กที่ใช้เครื่องยนต์ปกติให้เป็นระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นความท้าทายมาก เพราะในยุคนั้นก็ยังไม่มีเทคโนโลยีของรถไฟฟ้าใดให้เห็นนอกจากระบบของรถในสนามกอล์ฟ ซึ่งก็ใช้กันไม่ได้เพราะมอเตอร์มีขนาดเล็กเกินไป เราจึงต้องดัดแปลงชุดควบคุมไฟฟ้าที่ใช้กันในโรงงานอุตสาหกรรม และใช้แบตเตอรี่รถยนต์แบบปกติซึ่งมีขนาดใหญ่และมีนำ้หนักมาก แต่โครงการนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นดีที่ทำให้รู้ว่า ‘รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นคำตอบสำหรับรถยนต์แห่งอนาคตได้มากที่สุด’ เพราะจะช่วยลดมลพิษทางอากาศของโลกอย่างยั่งยืน
แล้วจะเราสู้กับเจ้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งอย่างจีนได้หรือ?
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าจีนแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปแล้วในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนก็มุ่งเน้นไปที่ตลาดในประเทศของเขาที่มีประชากรมหาศาลก่อน หลังจากนั้นถึงจะเริ่มส่งออก ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร จังหวะเริ่มต้นนี้แหละคือโอกาสของไทยที่จะมุ่งเน้นตลาดแถบอาเซียนที่มีประชากรอยู่ไม่น้อยถึง 600 ล้านคน
อาจพอสรุปได้ว่าการที่จะสร้างรถยนต์แห่งชาติขึ้นมาให้สำเร็จเพื่อไปแข่งขันในตลาดโลกต้องมีองค์ประกอบมากมาย เริ่มตั้งแต่เงินทุน การสนับสนุนจากภาครัฐ แนวคิด และช่องทางในการทำตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม รวมทั้งจังหวะเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ที่สำคัญที่สุดก็คือการสนับสนุนจากคนไทยด้วยกันเอง
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่จะทำให้พวกเราคนไทยจะมีโอกาสได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยในเร็ววันนี้ ไม่ใช่ ‘ชาติหน้า’ อย่างแน่นอน!
Anchan ส่งออกถูก ขายคนไทยโครตแพง อีรอบเดิมกับน้ำมัน เพราะหุ้นส่วนผีตัวเดียวกันจริงไม่จริงถามคนขายยาคูลดูสิค่ะ 🤣🤣🤣🤣🤣
24 มิ.ย. 2561 เวลา 14.17 น.
น่าจะหมดหวังนะ ดูอย่างเกษตรกรได้
ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่ยังไม่มีปัญญาจัดการปัญหาได้เลย
หมดหวังจริงๆ
24 มิ.ย. 2561 เวลา 19.25 น.
สุวิทย์789 ผลิตออกมาขายเลยสิ ขายราคาคันละไม่เกินสามแสนพอ ขายได้แน่นอนคนแห่มาใช้หมดไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก แต่ไม่ใชะจะผลิตในไทยแต่ขายราคานำเข้าจากนอกนะ ถ้าเป้นแบบนั้น รอจนโลกแตกก็ไม่มีใครซื้อใช้
25 มิ.ย. 2561 เวลา 00.50 น.
ไม่ได้กิน เลยไม่สนับสนุน
24 มิ.ย. 2561 เวลา 13.24 น.
Kampol ถ้าคนไทย ร่วมด้วยช่วยกัน
สนับสนุนก็คงเป็นจริงได้
24 มิ.ย. 2561 เวลา 11.42 น.
ดูทั้งหมด