อะไรคือสิ่งที่กำหนดความสำเร็จขององค์กรในปี 2025 ? คำตอบอาจไม่ใช่ผู้นำหรือซีอีโอฉายเดี่ยวประเภท "ซุปเปอร์สตาร์" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกต่อไป แม้ผู้นำแบบนี้จะสามารถดึงดูดสื่อมวลชนและผู้ถือหุ้นได้ดี แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีผลงานที่ดีในระยะยาว
คลื่นลูกต่อไปของความสำเร็จทางธุรกิจจะขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัจฉริยภาพของบุคคลเพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของระบบการทำงานขององค์กรที่อยู่ยืนยาว ผนึกกำลังทำงานร่วมกันได้ดีกว่า และปรับตัวได้เหนือกว่าสิ่งที่คนๆ เดียวจะทำได้
เชอร์ซอด โอดิลอฟ (Sherzod Odilov) ผู้เชี่ยวชาญและโค้ชด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรและนวัตกรรม วิเคราะห์ประเด็นนี้ผ่าน Forbes ไว้ว่า ความท้าทายทางธุรกิจในปี 2025 เรียกร้องให้ผู้นำบางคนต้องพัฒนาจากการเป็นซีอีโอผู้ดึงดูดความสนใจของผู้คน มาเป็นซีอีโอผู้สร้างระบบการทำงานที่ยั่งยืน เพราะผลลัพธ์การเติบโตขององค์กรธุรกิจในหลายๆ ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ผู้นำหรือหัวหน้างานแบบซุปเปอร์สตาร์อาจจะเปล่งประกายได้แค่ชั่วขณะ แต่ระบบงานที่ดีต่างหากที่สร้างรากฐานสำหรับความสำเร็จที่ยั่งยืน
ทำไมการเป็นผู้นำแบบซูเปอร์สตาร์ อาจพาองค์กรล้มเหลว?
งานวิจัยจาก Oxford Academic แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มี "ซุปเปอร์สตาร์" เป็นซีอีโอ มักจะดึงดูดความสนใจจากสื่อมากขึ้น และผู้บริหารระดับสูงมักได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวบริษัทเหล่านี้มักทำผลงาน-ผลกำไร ได้ด้อยกว่าคู่แข่ง สาเหตุจริงๆ ก็คือ การพึ่งพาบุคคลคนเดียวมากเกินไปทำให้ธุรกิจเปราะบาง งานเกิดคอขวด จำกัดความสามารถในการปรับตัว การผูกโยงความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรเข้ากับการตัดสินใจของคนๆ เดียว แนวทางนี้อาจใช้ได้ผลในระยะสั้น แต่ไม่ใช่รากฐานสำหรับความอยู่รอดในระยะยาว
ดังนั้น คำถามที่ผู้นำทุกคนต้องถามตัวเองคือ คุณกำลังสร้างองค์กรที่เติบโตเพราะคุณคนเดียว หรือกำลังสร้างองค์กรที่มีความยั่งยืน สร้างธุรกิจและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง ทำซ้ำได้ และขยายผลได้ แม้ว่าจะไม่มีคุณก็ตาม?
ลองคิดดู อะไรที่ทำให้ SpaceX, OpenAI หรือ Nvidia ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง? เป็นเพราะ อีลอน มัสก์ ประกอบจรวดด้วยตัวเองหรือไม่? เป็นเพราะ แซม อัลต์แมนเขียนโค้ดที่ปฏิวัติวงการของ ChatGPT หรือไม่? เป็นเพราะ เจนเซน หวงออกแบบ GPU ของ Nvidia ด้วยตัวเองหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่! บริษัทเหล่านี้เติบโตก้าวหน้าได้เพราะองค์กรมีระบบที่ส่งเสริมทีมงาน ขับเคลื่อนนวัตกรรม และขยายผลขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยระบบงานที่ดี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้นำที่มีวิสัยทัศน์นั้นมีความสำคัญ แต่หากขาดระบบการทำงานที่ดี ผลการดำเนินงานก็อาจย่ำแย่กว่าที่คิด เพราะเอาเข้าจริงผู้นำเพียงคนเดียวไม่สามารถทำงานทุกอย่างให้สำเร็จได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ คือ การสร้างความสม่ำเสมอ อำนวยความสะดวกให้พนักงานในการทำงานร่วมกันได้ดี และให้ความยืดหยุ่นในการปรับตัว เมื่อพลวัตของตลาดเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาขยายความเฉียบแหลมของคนหนึ่งคน ให้กลายเป็นระบบนิเวศการทำงานที่เอื้อให้ทุกคนสามารถทำงานด้วยความเฉียบแหลมนั้นได้เหมือนกัน
ดังนั้น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่มีวิสัยทัศน์ แต่ต้องเป็นนักออกแบบระบบ พวกเขาต้องสร้างกรอบที่กระตุ้นให้ทีมเกิดความคิดสร้างสรรค์ ลื่นไหล เกิดการเชื่อมต่อและพนักงานแต่ละฝ่ายสามารถตัดสินใจได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการอนุมัติส่วนตัวของซีอีโอในทุกเรื่อง เป้าหมายของคุณในฐานะผู้นำไม่ควรเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหา แต่ควรเป็นการสร้างระบบที่สามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องมีคุณ
3 วิธีสร้างระบบงานที่ดี มุ่งเน้นกระจายงานให้ทีมเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืน
การกระจายอำนาจการตัดสินใจให้ทีมงาน ถือเป็นพลังเงียบที่สำคัญในองค์กร รวมไปถึงการสร้างกระบวนการที่โปร่งใส และการวางรากฐานที่ทำให้ทุกคนในองค์กรรู้ว่า อะไรต้องทำก่อน-หลัง และมีเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานได้ดี เหล่านี้คือระบบงานที่จะช่วยปลดล็อกข้อได้เปรียบ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จในระยะยาว ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะเคล็ดลับการบริหารทีมที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. สร้างระบบการกระจายงาน มอบผลลัพธ์แบบคงที่
ระบบการทำงานที่ดีช่วยให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณส่งมอบผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยผันผวนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการถดถอยทางเศรษฐกิจโลกหรือวิกฤติในตลาดงานต่างๆ ที่ไม่คาดคิด ระบบที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ทีมงานยังรันงานได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาได้อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าพอเจอปัญหาทีค่อยหาวิธีแก้ไขไปที
จากการศึกษาโดยศูนย์วิจัยระบบสารสนเทศของ MIT พบว่า องค์กรขนาดใหญ่ที่ผู้นำบริหารงานแบบการกระจายอำนาจ ใช้เวลาเพียง 244 วันเท่านั้น ในการปรับตัวสู่การดำเนินงานหรือลงทุนในตลาดใหม่ (คว้าโอกาสทางธุรกิจได้เร็ว) โดยมีอัตรากำไรสุทธิและอัตราการเติบโตของรายได้สูงถึง 9.8% เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่บริหารงานแบบรวมศูนย์ ต้องใช้เวลานานกว่าถึง 566 วัน มีอัตรากำไรสุทธิและอัตราการเติบโตเพียง 6.2% นี่แสดงให้เห็นว่าความคล่องตัวของระบบงานที่ดี ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสทางธุรกิจและผลกำไร
2. สร้างนวัตกรรมในระดับที่ขยายผลได้
ความสำเร็จขององค์กรไม่ใช่การทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่เป็นการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย ระบบการทำงานที่ดีช่วยให้ขยายนวัตกรรมไปทั่วทุกแผนก เสริมพลังให้ทีมหลายทีมได้ทดลอง ปรับปรุง และสร้างสรรค์ภายในกรอบที่เป็นเอกภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือ องค์กรจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์หลากหลาย ไม่ใช่แค่จากผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่จากทุกภาคส่วนของทีมงาน
การศึกษาของ MIT เดียวกันนี้เปิดเผยว่า รายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการขององค์กรที่บริหารงานแบบกระจายอำนาจ สูงกว่าองค์กรแบบรวมศูนย์ถึง 1.5 เท่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์นี้เน้นย้ำถึงพลังของระบบนวัตกรรมแบบกระจายอำนาจที่แข็งแกร่งมากกว่า
3. สร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน
เมื่อระบบงานที่ดีเป็นกระดูกสันหลังขององค์กร ดังนั้นจึงไม่ต้องพึ่งพาการมีหรือไม่มีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งในการจัดการความท้าทาย ระบบที่ยืดหยุ่น จะช่วยให้ทีมงานปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มั่นใจถึงความยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน International Journal of Quality & Reliability Management เน้นย้ำว่า ความโปร่งใสในการบริหารงานภายในองค์กร มีบทบาทสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน แชร์ไอเดีย องค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างแผนก จึงช่วยเพิ่มความสามารถและเตรียมองค์กรให้พร้อมรับมือกับสภาวะที่ไม่พึงประสงค์
ผู้นำยุคใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร เพื่อสร้างระบบการทำงานที่ดีให้แก่องค์กร
เมื่อได้เห็นแล้วว่าระบบการทำงานที่ดีมีพลังที่ยิ่งใหญ่ คำถามต่อไปคือจะเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาอย่างไร ผู้นำอาจไม่สามารถปรับโครงสร้างองค์กรได้ในชั่วข้ามคืน แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง โอดิลอฟ มีคำแนะนำเบื้องต้นสองสามข้อ ได้แก่ ข้อแรก ให้ผู้นำองค์กรพิจารณากระบวนการทำงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อดูว่าขาดประสิทธิภาพตรงไหน? มีการตัดสินใจติดขัดในแผนกใดหรือไม่? พนักงานใช้เวลาแก้ปัญหางานมากกว่าการสร้างนวัตกรรมหรือไม่? หากเจอจุดอ่อนเหล่านี้ ให้เริ่มแก้ไขทันที
ข้อถัดมาคือ ผู้นำควรเพิ่มทักษะให้กับบุคลากร และสร้างเครื่องมือที่เสริมพลังให้ทีมของคุณ เปลี่ยนโฟกัสจากคำสั่งจากบนลงล่าง ไปสู่การแก้ปัญหาจากล่างขึ้นบน บุคลากรที่มีความสามารถและได้รับการเสริมพลังคือระบบที่มีค่าที่สุดของคุณ ข้อสุดท้ายคือ ต้องให้รางวัลให้แก่การส่งเสริมความสำเร็จแบบขยายผลได้ อย่าเฉลิมฉลองความสำเร็จของบุคคล แต่ให้มุ่งเน้นที่ความพยายามของทีมที่ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน
ท้ายที่สุด ผู้นำที่จะนำพาความสำเร็จมาสู่องค์กรนั้น ต้องเป็นผู้กำหนดภูมิทัศน์การบริหารงานใหม่ โดยการออกแบบระบบที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพวกเขาอยู่ในองค์กรก็ตาม ต้องเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ทีมงานปรับตัวได้เร็ว มีนวัตกรรม และความยืดหยุ่น มรดกของพวกเขาจะไม่ถูกวัดด้วยการปรากฏตัวในสื่อ แต่จะมองเห็นได้จากธุรกิจที่เติบโตรุ่งเรืองแม้ในวันที่พวกเขาออกจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม
อ้างอิง: Forbes, Emerald, MIT.edu, Oxford academic