ไลฟ์สไตล์

"ไขปริศนาฟาโรห์" ทำไม ? ฝังมัมมี่ทั้งๆ ที่อวัยวะเพศชูชัน

new18
อัพเดต 19 ส.ค. 2561 เวลา 11.06 น. • เผยแพร่ 19 ส.ค. 2561 เวลา 11.05 น. • new18
ด้วยความที่ทรงเป็นยุวกษัตริย์ที่เสวยราชย์ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น นับว่าเป็นเวลาอันสั้นในยุคสมัยของฟาโรห์พระองค์นี้ และหลังจากที่ “ฟาโรห์ตุตันคาเมน” ทรงสิ้นพระชนม์ไปเหลือทิ้งไว้เพียงสุสานและทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ซ่อนปริศนาอีกมากมายให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาความจริง …

ด้วยความที่ทรงเป็นยุวกษัตริย์ที่เสวยราชย์ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น นับว่าเป็นเวลาอันสั้นในยุคสมัยของฟาโรห์พระองค์นี้ และหลังจากที่ "ฟาโรห์ตุตันคาเมน" ทรงสิ้นพระชนม์ไปเหลือทิ้งไว้เพียงสุสานและทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ซ่อนปริศนาอีกมากมายให้ชนรุ่นหลังได้ค้นหาความจริง โดยมีมูลเหตุข้อสงสัยอีกหลายสิ่งให้ต้องสืบเสาะเพื่อนักโบราณคดีผสานเคมีกับนักวิทยาศาสตร์จักได้จบความใคร่รู้จากเรื่องหนึ่งเพื่อเปิดประตูเข้าสู่อีกเรื่องหนึ่ง เพราะยังมีความลับอีกมากมายที่ต้องตามล่าผ่าพิสูจน์ภายใต้พีระมิดอันมีมวลพลังมนต์เข้มขลังแห่งคำสาปฟาโรห์… 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แรกเริ่มเดิมทีฟาโรห์ตุตันคาเมน ทรงมีพระนามว่า “ตุตันคาเตน” โดยเป็นการตั้งพระนามตามเทพอเตนที่พระบิดานับถือ หลังจากที่พระบิดาสวรรคต พระองค์จึงทรงเปลี่ยนพระนามเป็น“ตุตันคาเมน” อย่างที่ทราบกันในปัจจุบัน

แต่ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพฟาโรห์ตุตันคาเมนกลับไม่ได้มีผลงานใดๆ ที่โดดเด่นมากนัก พระองค์ทรงครองราชย์ได้เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น แถมยังสวรรคตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อีกด้วย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของฟาโรห์ตุตันคาเมนนั้นมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ต่างหาก ด้วยความที่สาเหตุการสวรรคตของท่านนั้นยังคงเป็นปริศนา บวกกับการทำมัมมี่ของพระองค์ช่างแตกต่างจากมัมมี่อื่นๆ อยู่มากโข 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทั่วร่างของพระองค์ถูกฉาบด้วยสีดำ อีกทั้งยังไม่มี “หัวใจ” อวัยวะชิ้นเดียวที่ตามปกติจะถูกใส่ไว้ในร่างขณะมีการทำมัมมี่ นอกจากนี้ พระองค์ยังถูกฝังพร้อมกับอวัยวะเพศที่ตั้งชูชัน โดยเชื่อกันว่าเป็นการทำให้เขาเป็นตัวแทนของเทพโอไซริส

โอไซริส (Osiris) กรีกโบราณ (Ὄσιρις) เป็นเทพอียิปต์ซึ่งมักได้รับการระบุว่า เป็นเทพแห่งชีวิตหลังความตาย เทพแห่งนรก และเทพแห่งวิญญาณ เดิมทีเชื่อกันว่า เป็นบุรุษเพศ มีกายสีเขียว มีมัสสุดังฟาโรห์ กายเบื้องล่างพันผ้าห่อศพไว้ ฉลองมงกุฎประดับขนนกกระจอกเทศสองข้าง หัตถ์ทั้งสองถือตะขอกับไม้หวดข้าว

ถือกันมาระยะหนึ่งว่า โอไซริสเป็นโอรสของเก็บ (Geb) เทพผืนดิน กับ นัต (Nut) เทพีท้องฟ้า ทั้งเป็นเชษฐภาดาและภัสดาของไอซิส (Isis) มีโอรสด้วยกันหนึ่งองค์เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว คือ ฮอรัส (Horus) โอไซริสยังเกี่ยวเนื่องกับสมญาที่ว่า "เค็นที-อาเมนทีอู" (Khenti-Amentiu) แปลว่า ที่สุดแห่งชาวตะวันตก ซึ่งหมายถึง การได้ปกครองนรกภูมิ โอไซริสในฐานะมัจจุราชนั้นบางทีได้รับการเรียกขานว่า "เจ้าชีวิต" (king of the living) เพราะชาวอียิปต์โบราณถือว่า วิญญาณที่ได้รับเซ่นสรวงบูชานั้นเป็น "สิ่งมีชีวิต" (living one)

โอไซริสปรากฏเป็นครั้งแรกในช่วงกลางราชวงศ์ที่ห้าแห่งอียิปต์ แต่น่าเชื่อว่า ได้รับการเคารพบูชามาก่อนหน้านั้นแล้ว นอกจากนี้ สมญา "เค็นที-อาเมนทีอู" ยังปรากฏย้อนหลังไปถึงราชวงศ์ที่หนึ่งโดยเป็นสมัญญาสำหรับพระมหากษัตริย์ด้วย เรื่องราวเกี่ยวกับโอไซริสนั้นส่วนใหญ่ได้มาจากการกล่าวถึงในตำราพีระมิด (Pyramid Texts) ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อปลายราชวงศ์ที่ 5 ตลอดจนเอกสารในชั้นหลังๆ เช่น ศิลาชาบากา (Shabaka Stone) และคัมภีร์เรื่อง การชิงชัยระหว่างฮอรัสกับเซท (Contending of Horus and Seth) รวมถึงการพรรณนาในงานเขียนของปรัชญาเมธีกรีกหลายคน เช่น พลูตาร์ก (Plutarch) และดีโอโอรัส ซีกูลัส (Diodorus Siculus) 

ในนรกภูมิ ถือว่า โอไซริสเป็นตุลาการผู้เปี่ยมเมตตา ทั้งยังทำหน้าที่แทนนรกในการบันดาลให้เกิดสรรพชีวิต รวมถึง การแตกหน่อก่อผลของพืชผัก และการสร้างน้ำท่วมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งไนล์ นอกจากนี้ โอไซริสยังได้ชื่อว่าเป็น "กามเทพ" "พระผู้ปราศศัตรูและทรงเยาว์วัยตลอดกาล"  และ "เจ้าแห่งความสงัด"  พระเจ้าแผ่นดินอียิปต์จะทรงเป็นส่วนหนึ่งของโอไซริสเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว เชื่อกันว่า เมื่อสิ้นพระชนม์ โอไซริสจะสถิตอยู่ในพระวิญญาณ และพระวิญญาณที่มีโอไซริสเป็นส่วนหนึ่งนี้จะดำรงอยู่ชั่วกัลปาวสานหลังผ่านพิธีกรรมทางไสยเวทบางประการ ครั้นถึงช่วงอาณาจักรใหม่ ความเชื่อเปลี่ยนไปว่า ใช่แต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้นที่จะเข้ารวมกับโอไซริสในโลกหลังความตาย บุคคลธรรมดาสามัญทั้งหลายก็ด้วย แต่ต้องผ่านพิธีกรรมทำนองเดียวกัน  

ไอโซริสได้รับการนับถือเป็นมัจจุราชมาจนศาสนาอียิปต์โบราณระงับไปในช่วงคริสตกาล

มาเข้าเรื่องของฟาโรห์ตุตันคาเมนกันต่อ นอกจากนี้ ตัวสุสานของพระองค์ (ตุตันคาเมน) ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะด้วยความที่ตัวสุสานมีความสมบูรณ์มากแม้ว่าจะมีคนแอบเข้ามาขุดเป็นบางครั้ง ทำให้สุสานของพระองค์กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่มีค่าในทางประวัติศาสตร์ไป

แต่ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่พระองค์มีชื่อเสียงที่สุดหลังจากเสด็จสวรรคตก็คงไม่พ้น“คำสาปฟาโรห์” นั่นเอง

โดยมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการเปิดสุสานเมื่อปี ค.ศ. 1922 ในเวลานั้นมีข่าวลือที่ว่าบรรดาคนที่เข้าไปรบกวนสุสานของพระองค์จะต้องมีอันเป็นไปกันทีละคนสองคน ซึ่งหากข้อมูลจากคำบอกเล่าเป็นความจริง จะมีผู้เสียชีวิตจาก “คำสาป” ที่ว่านี้สูงถึง 22 คน

ฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) 

แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีหลักฐานมารองรับ “คำสาป” ที่ว่านี้ก็ตาม แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็กลายเป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจ ให้แต่เหล่านักเขียน และผู้กำกับจำนวนมาก นำมาซึ่งภาพยนตร์ชื่อดัง

ที่มา : wikipedia, historytoday, historyextra, gypzyworld, gotoknow, britannica, profilebooks

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 11
  • Eve
    ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ คะ
    19 ส.ค. 2561 เวลา 16.41 น.
  • Chalatda
    พาดหัวเรื่องกับเนื้อหายังไม่ตรงประเด็นนะคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
    20 ส.ค. 2561 เวลา 05.29 น.
  • waiyawut
    คนตายกระดอจะแข็งได้งัยวะ อยู่ทุกวันนี้ยังไม่ค่อยจะแข็งเลยกรู......555555555
    20 ส.ค. 2561 เวลา 07.18 น.
  • รายละเอียดของเรื่องที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศจนถึงหลักฐานภาพน้อยไปหน่อยยังไม่มากพอ
    20 ส.ค. 2561 เวลา 04.29 น.
  • ₪дtt Ŝitt 9669
    เนื้อข่าว ไม่ได้ตอบคำถามพาดหัวเลย จรรยาบรรณอยู่ไหนวะ ห่าาา น่าเบื่อ
    20 ส.ค. 2561 เวลา 07.18 น.
ดูทั้งหมด