เกิดเหตุสลดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก หลังผู้ปกครองร้องเพจดัง "บิ๊กเกรียน" ให้ช่วยเหลือ หลังลูกชายนักเรียน ป.3 ถูกรุ่นพี่ชาย ม.3 โรงเรียนเดียวกัน หลอกไปรีสอร์ตร้างข้างโรงเรียน ก่อนทำการล่วงละเมิด จนทวารหนักฉีกขาด ต้องนำส่ง รพ.นครนายก ขณะที่ทางโรงเรียนทราบเรื่อง พยายามปกป้องชื่อเสียงโรงเรียนให้ครูที่ทราบเรื่องทุกคน ห้ามพูดเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ ส.จ. ยืนมือเข้าช่วย บอกไม่ตัดสินกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ผู้สื่อข่าวทราบเรื่อง ได้ติดต่อกับ ส.จ.จังหวัดนครนายก ที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังผู้ปกครองเด็กนักเรียนชั้น ป.3 ถูกกระทำเข้าขอความช่วยหลือเนื่องจากเกรงกลัวนายก อบต.และอดีตกำนัน ในพื้นที่ที่ทางผู้ปกครองเด็ก ม.3 วิ่งเต้นให้มาไกล่เกลี่ย เพื่อให้ถอนแจ้งความ โดย ส.จ.บอกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อน (23- ม.ค.) ช่วงเวลา 17.00-18.00 น. โดยผู้ปกครองเด็ก ป.3 ที่ถูกกระทำได้โทรหมาหาตนว่า ลูกชายถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากรุ่นพี่เด็กชายชั้น ม.3 โรงเรียนเดียวกัน ว่าจะสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ไหน จึงได้ให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครนายก พร้อมนำลูกชายไปทำการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนครนายก จากนั้นไม่นานมีครูจากโรงเรียนของเด็กโทรมาหาตน ขอให้ตนพูดกับเด็กและผู้ปกครองเด็กชาย ป.3 ว่าอย่าให้เป็นเรื่อง ซึ่งตนเข้าใจว่าหากเกิดเรื่องย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งโรงเรียนและแม้กระทั่งตัวเด็กทั้งสองคน แต่ตนได้บอกไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด และที่สำคัญตนเองไม่สามารถไปบังคับจิตใจคนเป็นพ่อเป็นแม่เด็กที่ถูกกระทำไม่ได้เพราะตนก็มีลูก จึงได้ปฏิเสธคำขอจากครูที่โทรมาหาตน จนกระทั้งเมื่อวานตนได้โทรไปหาผู้ปกครองเด็ก ป.3 ทราบว่าเด็กได้ทำการตรวจร่างกายและรับการรักษาตัวพร้อมได้รับยาปฏิชีวนะ
ทั้งนี้ ส.จ.ได้บอกกับผู้ปกครองและเด็กป.3 ว่า ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เพราะอย่างแรกต้องยอมรับให้ได้ก่อน ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักถูกผิด ชีวิตนี้ก็จะทำอะไรไม่ได้แล้ว และหลังจากนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาช่วยกันแก้ไข ซึ่งตนไม่ว่าเด็กชั้น ม.3 ผิด แต่ตนมองว่าเด็ก ม.3 อาจได้รับการดูแลอย่างไรไม่ทราบ อาจจะมีปัญหาด้วยตัวเค้าเอง ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นเราจะต้องหาคนเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเด็ก อย่างเช่นเข้าไปช่วยฟื้นฟูปรับปรุงจิตใจว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเด็ก ม.3 ยังสามารถที่จะพัฒนาและสามารถดูแลได้อีก แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่จะหาคนนั้นคนนี้เข้ามาเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น ตรงนี้ตนไม่เห็นด้วย ซึ่งเรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งเคลียร์กัน แต่มันคือความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่รวมถึงตัวเด็กทั้ง 2 ฝ่าย และก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ว่าใครผิด ซึ่งเด็กนั้นมีผิดมีถูกอยู่แล้ว แต่ด้วยสามัญสำนึกแล้ว ผู้ใหญ่ต้องปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักผิดรู้จักถูก และขัดเกลาให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้นั้นคือสิ่งที่ดีกว่าที่จะไปไปนั่งเคลียร์คดีกัน ทั้งนี้เรื่องทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง และตัวเด็กของทั้งสองฝ่าย
ในส่วนที่โรงเรียนพยายามปิดข่าวนั้น ตนมองว่าเด็กป.3 อายุประมาณ 9 ขวบ และเด็ก ม.3 อายุประมาณ 15 ปี ซึ่งเด็กทั้งสองยังมีอายุต่อไปอย่างน้อยก็ 40 ปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม คาดว่าการปิดข่าวนั้นอาจจะช่วยเด็กได้ส่วนหนึ่งที่จะให้เด็กทั้งสองใช้ชีวิตต่อไปในสังคมต่อไปได้โดยไม่ถูก Bully ซึ่งที่กล่าวมาเป็นความคิดส่วนตัวตน แต่ตนไม่รู้ว่าทางโรงเรียนนั้นคิดอย่างไร หากมองในมุมว่าหากมีการเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างที่ตนเคยช่วยเหลือหลายๆ เคสที่ผ่านมาพอช่วยเหลือไปครั้งแรก ครั้ง 2 และพอเกิดขึ้นครั้งที่ 3 ตนก็ไม่ช่วย ถูกมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราต้องให้เค้าได้รู้ว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นคือสิ่งที่ผิด จากนั้นก็ค่อยมาว่ากัน ในการเยียวยาสภาพจิตใจ ร่วมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่ตามมาในการช่วยเหลือ
“ขอฝากถึงสังคมโซเชียลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เข้าใจว่ามันคืออารมณ์แต่อยากให้ตั้งสติสักนิด และมองไปว่าเด็กทั้ง 2 คนนั้นในอนาคตจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร อยากให้มองว่าเราจะช่วยเด็กทั้ง 2 คนใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และอนาคตโดยไม่โดนสังคมมารุมประณาม เพราะเชื่อว่าหากคนเราทำผิดได้ก็ต้องทำถูกได้ และไม่มีใครที่จะทำผิดไปตลอดเวลา อย่างที่ 2 ถึงครูและโรงเรียน หากเกิดปัญหาขึ้นจะต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่การเรียกแต่ละฝ่ายเข้ามาคุยไกล่เกลี่ยเคลียร์ยอมความกันกับความผิดที่เกิดขึ้นซึ่งมันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา และหากมองในระยะยาวมันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ และอย่างที่ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้เข้ามาช่วยเหลือเด็กทั้งสองคน เพราะเชื่อว่าเด็กชั้น ม.3 ที่ก่อเหตุอาจมีปัญหาส่วนตัว ไม่มีใครสนใจเค้าหรือเปล่า หรืออาจอาจมีความบกพร่องทางจิตใจ ซึ่งหากมีการช่วยเหลือรับฟังเยียวยาจิตใจ พูดคุยปรับความเข้าใจรวมไปถึงทัศนคดีของเค้าได้ ตนเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการลงโทษด้วยการใช้ความรุนแรง ส่วนเด็กที่ถูกกระทำตอนนี้มีหลายหน่วยงานได้เข้ามาไปดูแล
ทั้งนี้เมื่อเช้าได้คุยกับผู้ปกครองเด็ก ป.3 ที่ถูกกระทำหากเด็กและครอบครัวรู้สึกไม่ดี และอยากย้ายโรงเรียนผมก็ยินดีเป็นธุระช่วยเหลือในเรื่องหาโรงเรียนให้เด็ก ป.3 เพราะตนรู้สึกว่าน่าจะเป็นทางที่ดีทีสุดที่เด็กจะได้ไม่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเก่าๆ หรือถูกเพื่อนล้อ เพราะสองวันที่ผ่านมาได้เกิดผลกระทบต่อพี่ชายเด็กป.3 ที่ถูกเพื่อนในโรงเรียนล้อสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องชาย และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและจะกลายเป็นปมด้อยในใจของเด็ก.
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- สลด กระบะ 2 คันประสานงา ชนสนั่นกลางถนน ตาย 1 เจ็บสาหัส 4
- แม่ร่ำไห้รับศพ กุ๊กกิ๊ก เหยื่อไอซ์หีบเหล็ก ตร.จ่อฟันเพิ่ม ฆ่า-อำพราง
- "ยอดดอยอินทนนท์" หนาวอีกรอบ อุณหภูมิเหลือ 2 องศาฯ เหมยขาบโผล่ขาวโพลน
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath
ตัวเล็ก ท่าน ส.จ. พูดถูกและดีมากค่ะ
สนับสนุนหลักการและเหตุผล
ถ้าคิดได้อย่างท่านคิด
สังคมเราคงมีคุณภาพมาก
👍🏻👍🏻👍🏻👍🏻
25 ม.ค. 2563 เวลา 08.24 น.
มีเหตุอะไรแปลกๆกับเด็กคงจะอยากรู้อยากเห็นท่านส.จทำงานละเอียดมากชื่นชมค่ะ
25 ม.ค. 2563 เวลา 09.15 น.
Budsakon "YEEN" ทำไมความคิดเด็กสมัยนี้ช่างน่าวิตก
รัฐบาลควรปฏิรูปการศึกษาใหม่ได้แล้ว
25 ม.ค. 2563 เวลา 08.13 น.
puihyperyelly เด็กม.3 จับมัดกะเสาได้ปะ, ให้ปชชดู, ให้ทุกคนเวียนเทียน..เอาสากยัดตูดมัน ก่อนเข้าคุก
25 ม.ค. 2563 เวลา 09.16 น.
คุณณัฐ888 ชื่นชมแนวคิดนี้ สติมา ปัญญาเกิดค่ะท่าน
25 ม.ค. 2563 เวลา 10.21 น.
ดูทั้งหมด