CPTPP เข้าสภาพิจารณา สัปดาห์หน้า ขณะแฮชแท็ก #คัดค้านCPTPP #NoCPTPP และ #ไม่เอาCPTPP กลับมาเต็มโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง หลัง "สรท." ออกมาหนุนให้ไทยเข้าร่วมเจรจา
นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ออกมายืนยันว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 10-11 มิถุนายนนี้ ที่ประชุมจะยกเรื่องความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ขึ้นมาหารือกันด้วย
การเคลื่อนไหวข้างต้นเกิดขึ้น หลังในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีตัดสินใจที่จะระงับการหารือถึงเรื่องที่จะให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก "CPTPP" เอาไว้ก่อน ท่ามกลางเสียงคัดค้านอย่างหนักจากภาคประชาชน ภายใต้การนำของกลุ่ม FTA Watch สถานการณ์ที่ทำให้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตัดสินใจไม่เสนอเรื่องนี้เข้าสู่วาระการประชุม
แฮชแท็กต้าน CPTPP กลับมาว่อนเน็ต
อย่างไรก็ดี ช่วงปลายสัปดาห์นี้ ประเด็นเรื่องการเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวของไทย กลับมาเป็นหัวข้อร้อนแรงบนโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง ชาวโลกออนไลน์พากันติดแฮชแท็ก #คัดค้านCPTPP #NoCPTPP และ #ไม่เอาCPTPP เมื่อ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) โดย น.ส.กัญญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสรท. ออกมาแถลงสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมการเจรจา
ระหว่างการแถลงข่าว เรื่องการคาดการณ์สถานการณ์ส่งออกปี 2563 ที่สรท. คาดว่าจะติดลบถึง 8% จากการระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐ และค่าเงินบาทแข็งค่านั้น น.ส.กัญญภัค ได้เสนอแนะวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อภาครัฐ 6 ข้อด้วยกัน และหนึ่งในจำนวนนี้คือ "สนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจา CPTPP เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยสงวนสิทธิ์ให้สามารถถอนตัว หากทราบรายละเอียดเงื่อนไขหรือไม่สามารถเจรจาให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ
ข้อเสนออีก 5 ข้อ ประกอบไปด้วย
- เร่งผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อื่นๆ อาทิ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และ FTA ระหว่างไทย กับสหภาพยุโรป (อียู)
- ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ากว่า 34 บาทต่อดอลลาร์
- เร่งใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อลงทุนสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ
- พิจารณาการค้าในรูปแบบ Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนและกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
- ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพื่อกระตุ้นปริมาณการส่งออก และให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พิจารณาปลดล็อกมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้คล่องตัวมากขึ้น
ประธาน สรท. ยอมรับในการแถลงข่าวว่า เรื่อง CCTP เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ๆ" ซึ่งทำให้ สรท. ไม่อยากจะกล่าวเฉพาะเจาะจงถึงข้อตกลงนี้
"เรามองในเรื่องของการเปิดตลาด ทั้งเขตการค้าเสรี (FTA) แบบทวิภาคีหรือพหุภาคี เราไม่ได้เน้นเฉพาะ CPTPP อย่างเดียว และเรายังรอดูท่าทีของสหรัฐ ว่าเขาจะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อ" น.ส.กัญญภัคกล่าว พร้อมให้เหตุผลถึงการสนับสนุนในเรื่องนี้
เหตุผลที่ต้องเข้าร่วม
น.ส.กัญญภัค ระบุว่า สรท.ไม่ได้สนับสนุนการเข้าร่วมเจรจาการค้าเฉพาะข้อตกลงนี้ แต่มองเห็นโอกาสที่จะเปิดตลาดส่งออกจากการเข้าร่วมเจรจากรอบการค้าเสรีทุกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นทวิภาคีหรือพหุภาคี ทั้ง FTA กับรายประเทศและกลุ่มประเทศ เช่น FTA กับอียู และ RCEP ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่
การที่ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทั่วไปทางภาษี (จีเอสพี) ทั้งจากสหรัฐ และสหภาพยุโรป ทำให้ไทยต้องจ่ายอัตราภาษีเต็ม อีกทั้งยังไม่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเพราะค่าแรงที่แพง และความสามารถที่จำกัดของแรงงานไทยในด้านดิจิทัล ทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องอาศัยข้อตกลงทางการค้าในระดับทวิภาคีและพหุภาคีมาช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
"ตอนนี้เวียดนามกำลังจะแซงหน้าเราแล้ว การเติบโตด้านการส่งออกและเศรษฐกิจของเขาก็โตขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เข้าเวียดนามก็มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นเพราะเวียดนามได้รับจีเอสพีแล้ว ยังเป็นเพราะเวียดนามทำ FTA กับประเทศต่าง ๆ มากถึง 53 ประเทศ ขณะที่ไทยทำสัญญา FTA กับ 19 ประเทศ"
เข้าได้ก็ต้องออกได้
ประเด็นสำคัญในข้อเสนอของ สรท. ที่ให้เข้าร่วมเจรจาคือ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะต้องสงวนสิทธิให้ถอนตัวจากการเจรจาได้ หากพบว่ารายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
"เราไม่ได้บอกว่าเข้าไปแล้วต้องผูกมัดตัวเอง และไม่ใช่ว่าเมื่อไปเจรจาแล้วเราต้องยอมเขาทุกอย่าง ถ้าเรารับเงื่อนไขไม่ได้ ไม่พร้อม เราก็ถอยออกมาเตรียมตัวก่อนได้ เมื่อพร้อมเราอาจจะกลับไปคุยใหม่ หรือไปคุยแบบทวิภาคีก็ได้"
"การเจรจาไม่ว่าจะในกรอบไหนเราก็ไม่อยากเสียเปรียบ ถ้ามีโอกาสที่จะเข้าไปร่วมนั่งคุย ดูเงื่อนไขและเจรจาเพื่อเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจของไทยก็ควรจะทำ ไม่ใช่พอมีข้อกังวลแล้วก็ไม่เข้าไปเลย เราควรเข้าไปคุยก่อน ถ้าไม่ได้ในสิ่งเที่เราต้องการ เราก็ยังถอนตัวออกมาได้ เรามองในเชิงธุรกิจการค้า ถ้าตรงไหนที่เป็นโอกาส เราก็อยากให้เข้าไปศึกษาก่อน อย่าเพิ่งปิดโอกาส"
ภาครัฐต้องดูแลเรื่องผลกระทบจากข้อตกลงทางการค้า
ประธาน สรท.บอกว่าภาคเอกชนรับรู้ถึงข้อกังวลของภาคประชาสังคม ทั้งเรื่องสิทธิของเกษตรกร ด้านสาธารณสุขและด้านสิทธิแรงงาน ซึ่งไม่ว่าจะเข้าร่วมเจรจา CPTPP หรือไม่ก็ตาม ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และภาครัฐควรจะต้องหามาตรการปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
"ไม่ว่าจะเจรจาในกรอบไหน ภาครัฐควรมีกฎหมายปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน"
รู้จัก CPTPP และข้อกังวลของภาคประชาสังคม
"CPTPP" มีชื่อเต็มว่า Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม มีเพียง 7 ประเทศที่ให้สัตยาบันเข้าร่วม ได้แก่ เม็กซิโก ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และเวียดนาม
ข้อตกลงนี้ เป็นการปรับโฉมมาจาก TPP (Trans-Pacific Partnership) ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งเคยมีสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย แต่ภายหลังได้ถอนตัวออกไปเมื่อปี 2560
แต่ประเทศสมาชิกที่เหลือยังเดินหน้าความตกลงต่อภายใต้ชื่อใหม่นี้ โดยครอบคลุมการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม กลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ
ข้อกังวลของกลุ่มคัดค้าน
- การเข้าร่วมความตกลงนี้จะส่งผลให้ไทยต้องแก้กฎหมายบางฉบับที่อาจเกิดผลกระทบต่อภาคเกษตรและระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิทธิในเมล็ดพันธุ์พืช การคุ้มครองสิทธิบัตรยา รวมถึงการคุ้มครองการลงทุนให้ชาวต่างชาติ
- ไทยต้องเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญา UPOV1991 ว่าด้วยพันธุ์พืชทันทีหากเข้าร่ว ซึ่งอนุสัญญานี้ให้ความคุ้มครองบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรในการผูกขาด เมล็ดพันธุ์ยาวนานถึง 15-20 ปี ทำให้เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกรอบเพาะปลูก
- เนื้อหาในข้อตกลงหลายส่วนที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ และส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุข เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา
- ทำให้การใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร หรือ (Compulsory Licensing หรือ CL) ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องตามบทคุ้มครองการลงทุน
ที่มา : BBC
kunkanit อย่าสร้างกรรมชั่วอีกเลย อยาคตลูกกลาน
มันจะสาปแช่งไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ เวรกรรมมีจริงนะจะบอกให่
07 มิ.ย. 2563 เวลา 04.49 น.
kookkai2465 ถ้ารู้ว่ามันเสียประโยชน์ คนเสนอเข้ามาต้องการอะไร ผลประโยชน์มันมากจนคุณเมินความเสียหายของชาติเลยหรือไง
07 มิ.ย. 2563 เวลา 02.44 น.
kunkanit ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ รู่ทั่งรู้ว่าเราจะเสียประโยชน์มากกว่าได้ ยังอยากเสนออีก มันอะไรกันนักหนานะ หรือคนเสนอมีผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้าไม่จริงก็อย่าเอาเข้ามานำเหนออีก คิดว่าต้องได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน ไม่ร่วมก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่าทำเรื่องให้วุ่นวายเลย
07 มิ.ย. 2563 เวลา 04.47 น.
nareerat คัดค้านให้ถึงที่สุด
07 มิ.ย. 2563 เวลา 03.08 น.
ดูทั้งหมด