สิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีเยี่ยม ซึ่งจากผลสอบ PISA ประจำปี 2015 ปรากฏว่าสิงคโปร์ได้คะแนนสูงสุดของทั้ง 3 วิชาที่ทำการประเมิน ได้แก่ การอ่าน, วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคืออะไรเป็นปัจจัยของความสำเร็จ และสร้างให้สิงคโปร์เป็นชาติที่มีความเข้มแข็งทางการศึกษามาอย่างยาวนาน
จากงานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 10 (EDUCA 2017) ซึ่งจัดโดยบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มี “ดร.ลิม ไล เฉิน” กรรมการบริหารสถาบันให้คำปรึกษา และฝึกอบรมแห่งมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ และ “ศ.ดร.โล อี ลิง” ประธานเจ้าหน้าที่กำหนดและวางแผน และหัวหน้าสำนักวางแผนกลยุทธ์ และคุณภาพวิชาการ สถาบันครุศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางมาร่วมให้ข้อมูลถึงประเด็นดังกล่าว
ช่วงแรก “ดร.ลิม ไล เฉิน” บอกเล่าถึงนโยบายการศึกษาสิงคโปร์ว่ามีหลักการสำคัญคือ Meritocracy ระบบที่ส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่ต้องใช้เส้นสาย และไม่ให้สิทธิพิเศษกับใคร เพื่อให้มีข้อได้เปรียบ
“หลักการนี้เกิดจากการมองถึงอนาคตของสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์สร้างมาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งจีน, มาเลเซีย, ทมิฬ เราจึงต้องสร้างพื้นฐานให้คนมีความเสมอภาคซึ่งหากไม่มีมาตรการนี้ จะเกิดชุมชนเฉพาะพื้นที่นั้น ๆ ในทางเดียวกัน เราจะไม่ให้โรงเรียนมีเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งมากเกินไป เพื่อสกัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง”
อย่างไรก็ตาม ความเท่าเทียมที่ถือว่าเป็นจุดแข็งของหลักการ Meritocracy ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน เพราะการแข่งขันทางการศึกษาค่อนข้างสูง แม้รูปแบบการดำเนินงานของรัฐซึ่งทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ทั้งการมีครูที่ดี และได้รับทรัพยากรที่ดี แต่เด็กบางคนอาจไม่ได้รับโอกาสทางสังคมอื่น ๆ หรือไม่ได้ร่ำรวย ทางรัฐบาลกลัวว่าจะเกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น จึงมุ่งเน้นว่าคนที่ประสบความสำเร็จจะต้องช่วยเหลือคนที่มีโอกาสน้อยกว่าด้วย
“ดร.ลิม ไล เฉิน” อธิบายเพิ่มเติมว่าการจัดทำนโยบายการศึกษาจะต้องผ่านกระบวนการ 5 ด้าน คือ 1)คิดอย่างรอบคอบ ในการออกนโยบายใด ๆ ก็ตามจะต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่าเป็นนโยบายที่ดี และไม่ก่อผลกระทบในแง่ลบ 2)การปรึกษาหารือ จะต้องมีการพูดคุยกันระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็นครู ผู้ปกครอง ภาครัฐ
3)บริบท คำนึงว่านโยบายที่เคยดำเนินการก่อนหน้าอาจไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศในปัจจุบัน ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น 4)การสื่อสาร นโยบายอาจดูดี คิดรอบคอบ แต่การสื่อสารอาจไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการสื่อสารที่ไม่ดีจะทำให้ประชาชนเข้าใจเป้าหมายของนโยบายผิด 5)ปฏิบัติตามแผน ต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างละเอียด
“เวลาพูดถึงนโยบายต้องรู้ว่าพันธกิจคืออะไร ต้องทำอย่างคงเส้นคงวา และการนำไปปรับใช้ต้องมีความสอดคล้องกันในทุกขั้นตอน โดยรัฐบาลจะมีการทบทวนนโยบายย่อย ๆ ทุก ๆ 1 ปี หรือ 5 ปี เพื่อพิจารณาดูว่าผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเป็นอย่างไร เด็กรู้สึกอย่างไรต่อการถูกสร้างให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม แล้วเข้าใจระบบ Meritocracy และให้ความสำคัญกับการเท่าเทียมกันทางสังคมหรือไม่”
สำหรับในมิติของสถาบันผลิตครู “ศ.ดร.โล อี ลิง” กล่าวว่า ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ทำให้การกำหนดนโยบายด้านการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ด้วย โดยใน
ปี 1960 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายแบบทวิภาษาคือเรียนแบบสองภาษา ทั้งภาษาชาติของตัวเอง และภาษาทางการที่เป็นภาษาอังกฤษ ก่อนที่ในปี 1985 จะมีการกำหนดว่าคนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องมีความสามารถ 2 ภาษา
ข้อดีของการศึกษาแบบทวิภาษาคือสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ทั่วโลก ทำให้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสิงคโปร์มีความก้าวหน้า ตลอดจนเป็นการเพิ่มโอกาสในการค้าขายกับตลาดต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ได้นำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น เพราะจากการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศสิงคโปร์ พบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างกันของความสามารถด้านภาษาและด้านวิชาการ
ในส่วนการเตรียมครูเข้าสู่ระบบการศึกษา จะมีการให้ความรู้ด้านศาสตร์การสอน และการเตรียมความพร้อมด้านวิชาชีพ โดยครูทุกคนต้องผ่านการทดสอบ EPT (Entrance Proficiency Test) ซึ่งเส้นทางการพัฒนาครูของสิงคโปร์แบ่งเป็น 3 Tracks ได้แก่ Leadership, Teaching, Specialist
กล่าวคือเป็นการเรียนเพื่อก้าวไปสู่การทำงานในกระทรวง การเป็นครูสอนในสถาบันการศึกษา และเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ทั้งนั้น การทำให้ครูเห็นเส้นทางและเป้าหมายอย่างชัดเจน จะทำให้คนรู้ว่าต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง
“จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษา และสถาบันครุศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานที่นำไปสู่การสร้างครูที่มีคุณภาพ โดยเราเห็นว่าการให้รางวัล และยกย่องครูเป็นเรื่องสำคัญ จึงมีการมอบรางวัลให้ด้วย อย่าง The Inspiring Teacher of English Award และ MOE Overseas English Language Teachers Study Award”
อย่างไรก็ตาม “ศ.ดร.โล อี ลิง” บอกว่าการศึกษาของสิงคโปร์ยังคงมีความท้าทาย คือครูมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษไม่เท่ากัน ด้วยความที่แต่ละครอบครัวมีลักษณะการใช้ภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน
อีกทั้งคนจบใหม่ก็มีมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษลดลง ทางรัฐบาลจึงต้องผลักดันคนที่อยู่ระดับท้าย ๆ ให้มีความสามารถมากขึ้น
“แม้สิงคโปร์จะได้รับการจัดอันดับด้านการศึกษาในระดับต้น ๆ ก็ตาม แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไร กลับห่วงมากกว่าว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของคนสิงคโปร์จะเทียบเท่ากับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือไม่ เราจึงเดินหน้าต่อเนื่องในการพัฒนาบรรทัดฐานด้านภาษาอังกฤษของเราให้เทียบเท่ากับระดับสากลให้ได้มากที่สุด”
papon ลักษณะประจำชาติและการกำเนิดชาติระหว่างไทยกับสิงคโปร์ต่างกัน สังคมไทยมีรากเหง้าของระบบอุปถัมป์ชัดเจน ฉะนั้นการใช้เส้นสายในทุกมิติของสังคมจึงหลีกเลี่ยงได้ยาก ขณะที่สิงคโปร์เป็นรัฐเกิดใหม่เมื่อ ค.ศ.1963 ประมาณห้าสิบปีเศษเท่านั้นและเป็นพหุสังคม ผู้นำประเทศจึงต้องจัดระเบียบสังคมให้เกิดความเท่าเทียมกันให้ได้ในทุกมิติ แต่จุดอ่อนคือ พลเมืองสิงคโปร์ไม่ได้มีความสุขในการใช้ชีวิตเท่าคนไทย เพราะแรงบีบคั้นด้านสังคมที่มีทรัพยากรจำกัดและมีการแข่งขันสูงมาก
25 ต.ค. 2560 เวลา 07.45 น.
กฤติเดช สุขเนืองนอง ไทย สิงคโปร์ ทุกอย่างมีทั้งจุดแข็งและอ่อน ดูศึกษาด้านเดียวเราสู้เขาไม่ได้แน่ แต่ถ้าด้านจิตใจเราเหนือกว่าเยอะ เขาเคร่งเครียด เราชิล ชิล เขาเวลามีค่า เราเวลาเหลือเฟือ เขาทรัพย์กรไม่มี เราเหลือเฟือใช้ทิ้งใช้ขว้าง อีกเยอะ เมืองไทยดีที่สุด จริงไหม? พวกไทยมักง่าย
25 ต.ค. 2560 เวลา 04.59 น.
🧒👶NAIYACHIT 16 อ่านแล้วตรงข้ามกับการศึกษาไทยหลายเรื่องเลยครับ
1. ไม่ให้มีเส้นสาย เพื่อความเท่าเทียม
2. จัดสรรครูที่ดี และทรัพยากรที่ดีให้โรงเรียนอย่างเท่าเทียม
3. จัดเรียน 2ภาษาทุกโรงเรียน
25 ต.ค. 2560 เวลา 04.49 น.
Koye ข่าวอย่างนี้ดีนะค่ะ
25 ต.ค. 2560 เวลา 04.29 น.
สาวกปีศาจ...เรียนกันอย่างไรบ้าง...ตั้งใจเรียรหน่อย...อย่ามัวแต่การพนันล้ะ...ขอบอก
26 ต.ค. 2560 เวลา 08.06 น.
ดูทั้งหมด