ส้มผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว อุดมไปด้วยสารต้านอนูมูลอิสระและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด เช่น วิตามินซี เบตาแคโรทีน วิตามินบี ที่สำคัญคือโฟเลต และแร่ธาตุหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก พร้อมใยอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะมีคุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก
อย่างที่รู้กันว่าส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีค่อนข้างสูง จึงช่วยในการช่วยสร้างคอลลาเจน อีกทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ทำให้เหงือกแข็งแรงไม่มีเลือดออกตามไรฟัน และนอกจากสารอาหาร วิตามินต่าง ๆ แล้ว ส้มยังแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกายได้ด้วย
จะเห็นได้ว่าส้มมีประโยชน์มากมาย แต่จะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อบริโภคทั้งผลเท่านั้น การคั้นน้ำหรือแกะผลส้มจนเกลี้ยงโดยปราศจากเส้นใยใด ๆ ประโยชน์ของส้มก็จะลดลงไปด้วย ดังนั้นควรแกะเปลือกแล้วรับประทานเลย โดยไม่ต้องเอาเส้นใยสีขาวที่ติดอยู่กับผลส้มออก ซึ่งเส้นใยเหล่านี้เรียกว่า “แพคติน” มีวิตามินมากกว่าผลส้มเสียอีก ดังนั้นหากจะรับประทานส้มครั้งต่อไป อย่าเอาเส้นใยเหล่านี้ออกเด็ดขาด
โดยปกติส้ม 1 ลูกประกอบด้วยสิ่งที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เส้นใยอาหาร แร่ธาตุและวิตามิน รวมถึงให้พลังงานอีกประมาณ 34 กิโลแคลอรี ซึ่งในส่วนของสารอาหารถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยเฉพาะวิตามินซีที่หลายคนชอบกินยาเม็ดวิตามินซีขนาด 1,000 มิลลิกรัมแทนการรับประทานผลไม้ แต่แท้จริงแล้วร่างกายต้องการวิตามินซีเพียงวันละ 200 มิลลิกรัมเท่านั้น (ส้ม 1 ลูกมีวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัม) และด้วยปริมาณที่ร่างกายต้องการก็ไม่จำเป็นต้องกินยาเม็ดวิตามินซีเสริมเลย เพราะในอาหารหรือผลไม้ที่บริโภคในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว
แม้ส้มจะมีประโยชน์มาก แต่ไม่ใช่จะรับประทานเท่าไหร่ก็ได้ อย่าลืมว่ามีประโยชน์ก็มีโทษได้เหมือนกัน โดยเฉพาะวิตามินซี ถ้าได้รับในปริมาณที่มากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวันต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน สามารถทำให้เกิดนิ่วในไตได้ รวมถึงหากรับประทานวิตามินซีมากเกิน 1,000 มิลลิกรัม ยังอาจทำให้ท้องเสียได้ด้วย
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องระมัดระวังเรื่องอาหารและผลไม้เป็นพิเศษก็สามารถรับประทานส้มได้ แต่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณและไม่ควรรับประทานทุกวัน เนื่องจากส้มเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง แต่ถ้าเป็นส้มโอสามารถรับประทานได้เป็นประจำ เพราะส้มโอมีวิตามินซีและเส้นใยสูงมาก อีกทั้งยังมีสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการสร้างความสมดุลให้แก่ฮอร์โมนอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด จากการศึกษาพบว่าการกินส้มโอ 1-2 กลีบต่อวัน สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการลุกลามของโรคเบาหวานได้ด้วย
ถ้าอยากได้ประโยชน์สูงสุดจากการรับประทานส้มหรือผลไม้อื่น ๆ ก็ควรกินก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ และไม่ควรกินผลไม้พร้อมหรือหลังอาหารเด็ดขาด เพราะเมื่ออาหารและผลไม้ผสมกันในกระเพาะอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊สทำให้ให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้
ที่สำคัญส้มที่บริโภคควรเป็นส้มสดที่ปราศจากยาฆ่าแมลงหรือสารปนเปื้อนอื่น ๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดกับร่างกายอย่างเต็มที่
กินมากๆไม่รู้จะได้ประโยชน์หรือว่าได้ยาฆ่าแมลงครับคิดเยอะๆหน่อยครับก่อนจะลงข่าว(ต้องปลูกเองที่บ้านแบบใช้ขี้วัวขี้ค้างคาวใส่ต้นส้มแล้วเก็บผลทานเองรับรองได้ประโยชน์แน่ๆ)
06 ก.ค. 2561 เวลา 18.25 น.
วิมลลักษณ์ ใช่ในผักและผลไม้หายากมากที่ไม่มียาฆ่าแมลงจะหาที่ไหน ที่มีประโยชน์จริงๆ เศร้า
16 มี.ค. 2562 เวลา 22.56 น.
nor nunt รัฐบาลยังไม่สนใจออกกฏให้ผลไม้ทุกชนิดต้องปลอดภัยก่อนนำออกขาย กระทรวงอะไรหนอที่ดูแลเรื่องนี้ ต้องรอให้คนเป็นมะเร็งตายกันหมดใช่ไหม
08 ก.ค. 2561 เวลา 00.38 น.
ยาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆฟ
06 ก.ค. 2561 เวลา 23.56 น.
ปาริน งั้นเรามากินเบียร์กันดีกว่า
17 มี.ค. 2562 เวลา 00.43 น.
ดูทั้งหมด