ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับนิยามประเทศไทยในด้านที่สะท้อนถึงแต่ภาพของความสุข สนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น Land of Smile, Amazing Thailand แต่ข้อมูลล่าสุดจากผลสำรวจคะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่แบบ 360° ของซิกน่า (Cigna) บริษัทประกันสุขภาพระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า คนไทยถึง 91% ยอมรับว่าตนเองอยู่ในภาวะเครียด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับ 86%
Work-life ไม่ Balance ปัญหาใหญ่กลุ่มมิลเลเนียล
สำหรับการสำรวจคะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่แบบ 360°ของซิกน่า ได้ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยได้สำรวจและติดตามทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของตนเองใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านสังคม ด้านครอบครัว ด้านการเงิน และด้านการทำงาน จากผู้คนใน 23 ประเทศทั่วโลก โดยทำการสำรวจในทุกช่วงอายุ และพบว่า คนกลุ่มมิลเลนเนียล หรือกลุ่มคนที่มีอายุ 18 – 35 ปี เป็นกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องสมดุลของการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life balance) รวมถึงมีความกังวลเรื่องความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Job stability) มากที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 35 – 49 ปี และกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป
ขณะที่ในภาพรวม สิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุดคือ เรื่องการเงิน ด้วยสัดส่วน 43% ตามมาด้วยปัญหาเรื่องงาน โดยเฉพาะประเด็น Work life Balance จะมีสัดส่วนอยู่ราว 35%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า 91% ของคนไทยจะยอมรับว่าตนเองเครียด แต่ 81% ของคนในกลุ่มนี้ก็สามารถจัดการกับปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นได้ โดยใช้วิธีการพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว การออกกำลังกาย และการนอนหลับพักผ่อน
จากการสำรวจยังพบว่ามีคนไทยเพียง 13% เท่านั้นที่เข้าพบบุคลากรด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหาความเครียดของตนเอง โดยที่คนในกลุ่มวัยทำงานจะเป็นกลุ่มที่เปิดรับการรักษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตมากกว่ากลุ่มอายุอื่น ซึ่งนอกจากสาเหตุด้านค่าใช้จ่ายที่สูงแล้ว ยังเกี่ยวกับความรู้สึกอับอายที่จะบอกให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาอีกด้วย
และแม้ว่านายจ้างในประเทศไทยที่มีจำนวนถึง 63% จะให้ความสำคัญกับการจัดการความเครียดของพนักงาน (Stress management) แต่มีหนุ่มสาวออฟฟิศเพียง 30% เท่านั้นที่รู้สึกว่าที่ทำงานของตนมีการให้ความช่วยเหลือในการจัดการความเครียดอย่างเพียงพอ ขณะที่อีก 37% กล่าวว่านายจ้างไม่มีการช่วยเหลือใดๆ เกี่ยวกับการจัดการความเครียดเลย
โดยแนวทางที่ออฟฟิศจะให้ความช่วยเหลือในการจัดการความเครียดให้กับพนักงานได้ อาทิ การจัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงาน (Workplace Wellness program) โดยบริษัทที่มีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงานจะมีจำนวนพนักงานที่รู้สึกว่าตนไม่สามารถจัดการความเครียดได้เองน้อยกว่าบริษัทที่ไม่มีโปรแกรมฯดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ
มนุษย์ออฟฟิศกังวล มะเร็ง -สุขภาพสายตา
ข้อมูลจากผลสำรวจบ่งบอกถึงสิ่งที่พนักงานต้องการให้นายจ้างจัดหาให้มากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรคมะเร็ง ความคุ้มครองสุขภาพดวงตาและสายตา และการจัดให้มีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงาน
โดยจำนวนมนุษย์ออฟฟิศถึง 82% บอกว่าการมีโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน เช่น มีการจัดตั้งชมรมกีฬาให้พนักงานเข้าร่วม การจัดคอร์สโยคะ หรือ การขยายความคุ้มครองของประกันสุขภาพกลุ่มให้กับสมาชิกในครอบครัว เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกองค์กรที่จะทำงานด้วย
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัญหาในการทำงานออฟฟิศ คือภาวะ “Presenteeism” หรือการมาทำงานแม้จะเจ็บป่วยหรือมีสภาวะร่างกายหรือสภาพจิตใจที่ยังไม่พร้อม ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของงาน (Job security) จำนวนงานที่มากเกินไป (Overloaded work) วัฒนธรรมองค์กร (Work culture) ที่อาจกดดันให้พนักงานต้องแสดงความทุ่มเท หรือแม้แต่การไม่ยอมรับความจริงของตัวพนักงานเอง (Denial) ที่ทำให้ฝืนร่างกายตนเองเข้ามาทำงาน
ทำให้มีคนไทยถึง 9 ใน 10 หรือราว 89% กล่าวว่าตนจะเข้ามาทำงานแม้จะเจ็บป่วย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 67% โดยการมาทำงานแม้จะเจ็บป่วยหรือมีสภาวะร่างกายหรือสภาพจิตใจที่ไม่พร้อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) โดยทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงจาก 100% เหลือเพียง 74% เท่านั้น
ทำงานมาทั้งชีวิตแต่ไม่มีเงินหลังเกษียณ
ต่อเนื่องจากผลสำรวจคะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่แบบ 360° ของซิกน่าเมื่อปีที่แล้วที่พบว่า 75% ของคนไทยยังไม่มีเงินเพียงพอสำหรับใช้ในยามเกษียณ เนื่องจากขาดการเตรียมพร้อมด้านการเงินที่ดีพอ เพราะคิดว่า“ตนเองยังไม่แก่”ทำให้หลายคนตกสู่ “กับดักอายุ” (Age Trap) โดยในปีนี้คนไทยก็ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเดิมๆ ในเรื่องของความมั่นคงทางการเงินของตนเองเช่นเดียวกับการสำรวจครั้งที่แล้ว
โดยพบว่าคนไทยถึง 40% คาดว่าเมื่อเกษียณแล้วจะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยเงินเก็บของตนเอง ขณะที่อีก 29% คิดจะพึ่งพาสวัสดิการจากภาครัฐในการดูแลและจ่ายค่ารักษาพยาบาล และมีคนไทยเพียง 23% เท่านั้นที่บอกว่ามีความคุ้มครองที่เพียงพอจากแผนประกันสุขภาพส่วนบุคคลที่ทำไว้
ดังน้ัน ข้อมูลต่างๆ จากการสำรวจในครั้งนี้ซิกน่าจะนำข้อมูลและผลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีความเป็นอยู่และความมั่นคงในชีวิตที่ดีขึ้นในทุกช่วงเวลาของชีวิตต่อไป
Photo Credit : NUMBER 24- Authorized Shutterstock Partner in Thailand
Ti. ยังไม่รู้อีกเหรอ สังคมไทยควรตื่นได้แล้ว สอนจังให้ลูกเรียนเก่งๆ แล้วไปเป็นทาสนายทุน แท้ที่จริงแล้วโง่ ทำให้นายทุนรวย แล้วบอกตัวเองทำงานมั่นคง สอนผิดๆ ค่าน่ายมผิดๆ จริงๆแล้วควรสอนให้เด็ก คิดค้นนวัตกรรม เก่งค่าขาย ทำธุรกิจของตัวเอง ทำกิจการของตัวเอง จะดีกว่านะ
24 ส.ค. 2561 เวลา 01.17 น.
Pooh Kasem ส่วนนึงอยู่ที่การวางแผนชีวิตของแต่ละคน บางทีสอนอะไรไป ถ้าไม่รับฟัง ไม่เริ่มทำ การวางแผนที่ดีก็ไม่เกิด รับผลกันไปน่ะ
23 ส.ค. 2561 เวลา 15.38 น.
ple ก็บางคนไม่คิดเก็บไม่คิดออม ใช้ไปเรื่อย จะให้ช่วยอย่างไร บางคนทำงานเงินเดือน น้อยกว่า ยังหัดเก็บหัดออม อย่าใช้เกินตัว
24 ส.ค. 2561 เวลา 00.12 น.
The pex เดือนชนเดือนเรื่องปกติ
23 ส.ค. 2561 เวลา 19.04 น.
PEAK224 แก่ตัวมาได้ค่าครองชีพเดือนละ 6-700
เสียภาษีมาทั้งชีวิตการทำงาน
จะไม่เครียดได้ไง
ถึงทำประกันสังคมได้ 3-4 พัน
ใช้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หมดแล้ว
23 ส.ค. 2561 เวลา 23.55 น.
ดูทั้งหมด