นอกจากจะถูกตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลเทคโนโลยีไบโอเมทริกซ์ มูลค่า 2,100 ล้านบาท ที่นำมาใช้ในท่าอากาศยานนานาชาติ และด่านชายแดนต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ถูกกล่าวหาด้วยแล้ว
ยังตามด้วยรถสายตรวจไฟฟ้าอัจฉริยะ มูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการถูกแฉว่าจัดซื้อแพงเกินจริง ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจมีรายการ“ฮั้ว” ในการจัดซื้อ
แต่โครงการจัดซื้ออื้อฉาวใน สตม.ไม่ได้หมดแค่นี้ ยังมีอีก 1 โครงการที่ต้องจับตา นั่นก็คือ“โครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์” สตม. จำนวน 27 ลำ งบประมาณรวมถึง 348 ล้านบาท(348,100,500 บาท)
สำหรับเรือตรวจการณ์ที่จัดซื้อ เป็นเรือยนต์ 2 ประเภท 2 ขนาด คือ เรือยนต์ขนาด 21 ฟุต ติดเครื่องยนต์ท้าย 1 เครื่องยนต์ จำนวน 8 ลำ ราคาลำละ 7,437,500 บาท รวม 59,500,000 บาท และเรือยนต์ขนาด 32 ฟุต ติดเครื่องยนต์ท้าย 2 เครื่องยนต์ จำนวน 19 ลำ ราคาลำละ 15,189,500 บาท รวม 288,600,500 บาท มูลค่าในการจัดซื้อเรือยนต์ทั้ง 2 ประเภท 348,100,500 บาท
วัตถุประสงค์ที่อ้างเป็นเหตุผลในการจัดซื้อ คือเพื่อใช้ตรวจการณ์บริเวณชายแดน เน้นชายแดนด้านที่ติดนํ้า โดยเรือขนาด 21 ฟุต 8 ลำ ส่งมอบแล้ว 3 งวด แบ่งเป็น งวดที่ 1 จำนวน 2 ลำ มอบให้ ตม.จังหวัดมุกดาหาร และจ.อุบลราชธานี งวดที่ 2 จำนวน 3 ลำ ส่งมอบให้กับ ตม.จังหวัดสตูล, ฉะเชิงเทรา, หนองคาย และงวดที่ 3 จำนวน 3 ลำ ส่งมอบให้ ตม.นครพนม, บึงกาฬและด่าน ตม.ท่าเรือกรุงเทพ
ขณะที่เรือยนต์ขนาด 32 ฟุต 19 ลำ ทยอยส่งมอบเป็น 5 งวด โดยงวดที่ 1 จำนวน 2 ลำ ส่งมอบให้ ตม. นครศรีธรรมราช และตรัง งวดที่ 2 จำนวน 4 ลำ ส่งมอบให้ ตม.สตูล, ตราด, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ งวดที่ 3 จำนวน 4 ลำ ส่งมอบให้ ตม.ภูเก็ต, สงขลา 2 ลำ และกระบี่
สำหรับงวดที่ 4 จำนวน 4 ลำ ส่งมอบให้ด่าน ตม.เชียงแสน, ระนอง, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร และงวดที่ 5 จำนวน 5 ลำ ส่งมอบให้ ตม.จันทบุรี, ระยอง, ชลบุรี, ปัตตานี, สุราษฎร์ธานี
การจัดซื้อเรือตรวจการณ์ ให้กับหน่วยงานอย่าง สตม. ทำ ให้เกิดคำถามเรื่องความเหมาะสมและตรงตามภารกิจจริงหรือไม่ เพราะหากจะอ้างเรื่องการตรวจลำนํ้า หรือผลักดันคนเข้าเมืองผิดกฎหมายทางนํ้า ก็สามารถประสานกับกองบังคับการตำรวจนํ้า ซึ่งมีเรือและยุทโธปกรณ์ครบถ้วนกว่าได้
นอกจากนั้น เฉพาะในลำนํ้าโขง ยังมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษตามลำแม่นํ้าโขง หรือ นปข. คอยลาดตระเวน สอด แนม และดูแลด้านความมั่นคงทุกจังหวัดริมแม่นํ้าโขงด้วย
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า โครงการจัดซื้อเรือยนต์ตรวจการณ์ของ สตม. ดำเนินการโดยสำนักงานส่งกําลังบํารุง(สกบ.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ แต่ใช้งบประมาณจากเงินค่าธรรมเนียมที่เก็บตามด่านตรวจคนเข้าเมือง มาใช้ในการจัดซื้อ
เริ่มโครงการในยุค พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร เป็นผู้บัญชาการ สตม. โดยเรือยนต์ตรวจการณ์ต่อเสร็จและมีการส่งมอบกันช่วงปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น หรือ“บิ๊กบัว” เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการ สตม. ต่อ จาก พล.ต.ท.ณัฐธร ขณะที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เป็นสายตรง นายกฯลุงตู่ เข้ามารับหน้าที่หลังเกิดเหตุวิกฤติอุยกูร์ลอบวาง ระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ปี 2559 (จากนั้นก็มีการเสนอจัดซื้อระบบไบโอเมทริกซ์)
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลว่า ในช่วงที่มีการส่งมอบเรือยนต์ตรวจการณ์ไปประจำตามด่าน ตม.ในหลายจังหวัดที่มีพื้นที่ปฏิบัติการทางนํ้า ปรากฏว่า สตม.ไม่มีกำลังพลที่สามารถขับเจ้าเรือยนต์ตรวจการณ์นี้ได้ จนต้องโอนย้ายเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานข้างเคียงที่สามารถขับเรือได้มาเป็นตำรวจ สตม.
จากการตรวจสอบไปยังผู้สื่อข่าวเนชั่นประจำจังหวัดต่างๆ ริมแม่นํ้าโขง ส่วนใหญ่ได้รับการยืนยันว่า แทบไม่เคยเห็นเรือตรวจการณ์ของ สตม.ออกปฏิบัติการในลำนํ้า โดยมากเห็นจอดอยู่บนบก เช่น ในโรงจอดรถของหน่วย จนเกิดคำถามว่ามีการใช้งานคุ้มค่ากับงบประมาณลำละหลายล้านบาท หรือทั้งโครงการ 348 ล้านบาทหรือไม่
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,541 วันที่ 19-22 มกราคม 2563
sookkasem(สุขเกษม) เงินชาวบ้านภาษีทั้งนั้นมีอะไรอ่ะป่าวกูจะซื้ออ่ะใครจะทำไม
19 ม.ค. 2563 เวลา 04.49 น.
สมหมาย สายทอง เอางบจัดซื้อพวกนี้ไปขุดลอกคูคลองหรือสระน้ำเพื่อเงินภาษีของประชาชนจะได้บริหารจัดการที่ดีมีคุณภาพกว่าไหมไม่ใช่ถลุงแดกกันเป็นทีม
19 ม.ค. 2563 เวลา 05.04 น.
🅐🅚🅔 ปลดเลยครับ
19 ม.ค. 2563 เวลา 04.44 น.
MAC 111 เครื่องแบบที่สวมใส่ไม่ได้การันตีจิตใจเลยคร้าบ
19 ม.ค. 2563 เวลา 04.32 น.
ณรงค์ศักดิ์ เป็นวาระเลื่อยขาเก้าอี้ผบตร.ไม่ใช่แค่หวังโค่น แต่ยังหมายถึงการหยุดสืบอำนาจจากสายผบตร.ในอนาคต ในยุคของรองผบตร.ที่จะขึ้นแท่นต้องการเปลียนสาย
19 ม.ค. 2563 เวลา 03.30 น.
ดูทั้งหมด