ชีวิตคนเราเดาทางไม่ค่อยถูก ไม่เฉพาะตอนตื่น แม้แต่ตอนนอนก็ควบคุมไม่ได้ว่า คืนนี้จะให้ฝันอะไร อยากให้ฝันลงเอยแบบไหน หรือกระทั่งสั่งให้ตัวเองตัดสินใจโต้ตอบกับนิมิตฝันอย่างไร
บางคืน ฝันมั่วๆ มัวๆ สับสนเละเทะ เหมือนไม่ใช่หน้าตาหรือตัวตนเดิมๆของคุณด้วยซ้ำ อย่างนี้ถ้าตัวคุณในฝันจะทำหรือไม่ทำอะไร ก็ไม่น่าแคร์ เพราะเหมือนไม่เกี่ยวกับคุณเลย ไม่ใช่ฝันของ ‘ตัวคุณ’ ด้วยซ้ำ
แต่บางคืนนี่สำคัญ เพราะฝันไม่มั่ว แต่อาจกระจ่างชัดราวกับเป็นเรื่องจริง มีสติรู้คิดรู้อ่านได้เหมือนอย่างนี้เลย ซึ่งหมายความว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นในฝัน คุณจะอินไปกับมัน ตื่นมาจดจำมันเท่ากับหรือมากกว่าเรื่องจริงเสียอีก
ค่าที่ถือเป็นลางบอกเหตุได้ เช่น ฝันร้าย เห็นตัวเองถูกตามล่า เห็นปีศาจหลอกหลอน หรือเห็นญาติประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตที่ก่อให้เกิดความกังวลว่า มันจะเกิดอะไรไม่ดีเร็วๆนี้หรือเปล่า
ฝันชัดราวกับเรื่องจริง ยังมีอีกประเภทหนึ่ง คือ ประเภทที่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่กลับเป็นฝ่ายตัดสินใจกระทำบางอย่างลงไป ซึ่งการที่เหมือนคุณมีสติสตัง จำได้ว่าตัวเองเป็นใคร ตัวละครในฝันเป็นใครนั่นเอง อาจนำมาซึ่งความรู้สึกผิดร้ายแรงได้เท่ากับยามตื่นเช่นกัน
ที่เกิดบ่อยกับใครต่อใคร จะออกแนวฝันว่าฆ่าคน ฝันว่าโกงเงิน หรือฝันว่านอกใจสามีหรือภรรยา มีการลงมือกระทำแบบเป็นขั้นเป็นตอน รู้สึกรู้สาทุกสัมผัสทุกประการครบถ้วน
หากสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปในขณะฝัน มันค้านกับมโนสำนึกของความเป็นคุณ คุณอาจรู้สึกผิดตั้งแต่ยังไม่ตื่น และตื่นมาก็ยังรู้สึกแย่ และอาจเป็นกังวลว่า เกิดบาปเกิดกรรม เกิดความมัวหมองกับศีลของคุณบ้างหรือเปล่า ในเมื่อมีความรู้เนื้อรู้ตัวและความสามารถตัดสินใจอยู่ครบขนาดนั้น
คำตอบคือ ไม่เป็นบาป เพราะขาดองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดกรรมแบบครบวงจร
ตัวอย่างเช่น ศีลข้อ ๓ นั้น ที่นับว่าประพฤติผิดในกาม ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ ข้อ ได้แก่ หนึ่ง มีตัวตนหญิงหรือชายอันเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นเป็นเป้าหมาย สอง มีความอยากเสพกามกับผู้เป็นเป้าหมาย สาม พยายามเพื่อให้ได้เสพ สี่ มีเครื่องเพศเข้าถึงกัน (แม้ด้วยปากกับอวัยวะเพศ)
จากนิยามของศีลข้อ ๓ คุณจะพบว่าในฝันนั้น ตั้งต้นขึ้นมาก็ไม่มีเนื้อไม่มีหนังของจริงเสียแล้ว จะเป็น สามีผู้อื่น ภรรยาผู้อื่น หรือลูกสาวที่ยังมีผู้ปกครองเลี้ยงดูก็ตาม หากปราศจากเนื้อหนังของบุคคลต้องห้ามข้อเดียว ข้ออื่นๆที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่นับเป็นบาปเป็นกรรมที่จะติดเป็นเงาตามตัวไปเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรได้จากการผิดศีลในฝัน คือ การได้มีสติสำรวจตัวเองยามตื่นว่า มีความยินดี หรือมีความเสียใจไปกับความผิดชนิดนั้นๆ ถามตัวเองง่ายๆว่า ลืมตาตื่นอยู่อย่างนี้ หากเกิดเหตุเหมือนในฝันขึ้นมา ตัวจริงๆของคุณจะตัดสินใจเลือกทำอย่างไร เป็นตรงข้าม หรือเหมือนกับในฝัน
หากมีความยินดี อยากให้ความผิดในฝันเกิดขึ้นจริง ก็น่าเสียใจ เพราะฟ้องว่าคุณยืนอยู่ข้างบาป แต่หากมีความยินร้าย ละอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝัน ก็น่าดีใจ เพราะเป็นบทพิสูจน์ว่าใจจริงคุณไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น คุณยืนอยู่ข้างบุญ และพร้อมจะ ‘ทำบุญด้วยการห้ามใจ’ จริงๆ
สรุปแล้ว การมีนิมิตหมายให้ได้รู้ใจตัวเอง นับเป็นเรื่องดี ฝันคือหลักฐานของการมีกิเลส ส่วนสติยามตื่นคือข้อพิสูจน์ว่าคุณจะห้ามใจใคร่รักษาศีลไหม!
ผมคิดว่าบทความนี้เป็นบทความที่ดีมากครับ เพราะว่านั่นสามารถทำให้ได้รับรู้ได้ถึงว่าไม่ว่าจะคิดหรือจะทำอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรจะยึดถือเอาไว้ใหมั่นนั่นก็คือการที่จะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาครับ.
27 ม.ค. 2562 เวลา 01.42 น.
ปาริฉัตร Parichat สรุปได้ดีค่ะ สติ สำคัญกับชีวิต
27 ม.ค. 2562 เวลา 14.07 น.
เจ๋ง ฝันดีหรือไม่ดีไม่ถึงกับเป็น"บุญ" เป็น"บาป"
แต่ส่วนตัวคิดว่าสามารถเป็นเหตุและปัจจัยให้เกิด"กุศล"และ"อกุศล" ได้หลังจากตื่น
หากฝันนั้นก่อให้เกิดความไม่ประมาทในยามตื่นได้ก็เป็นกุศลเกิดบุญ แต่หากฝันนั้นทำให้ผู้ฝันหลงประมาทเสีย ก็จะเกิดอกุศลจนอาจจะกระทำบาปได้
27 ม.ค. 2562 เวลา 14.38 น.
AGG GLORY ฝันก็คือการทดสอบคับว่า ศิลเราบริสุทธจิงเปล่า..
เข้าถึงศิลจิงๆหรือเปล่า...ถามว่าผิดศิลในฝัน บาปมั้ย
ตอบเลยว่าไม่บาปนะ
29 ม.ค. 2562 เวลา 13.39 น.
Accountant นอกใจคู่ตัวเอง แถมยังไปแย่งคู่ของคนอื่น ยังไม่เป็นอะไร และไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียวด้วย ก็เห็นสมหวังตลอด มีแต่ผู้ถูกกระทำที่ได้รับความทุกข์ความเสียใจ ผู้กระทำบาปมีแต่ความสุข ความสมหวังตลอด อันนี้คือเรื่องจริงที่เห็นเพิ่มมากขึ้นในสังคม
28 ม.ค. 2562 เวลา 08.56 น.
ดูทั้งหมด