ไอที ธุรกิจ

หุ้น-เงินโลกฟื้นตัวรับ”Brexit-สงครามการค้า”คลี่คลาย

Businesstoday
เผยแพร่ 13 ธ.ค. 2562 เวลา 09.44 น. • Businesstoday

จับตาชาวอังกฤษโหวตเลือกตั้งเพื่ออนาคตในการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่ไร้ข้อตกลง Brexit ส่งผลเงินปอนด์แข็งค่ามากกว่า 2% หลัง Exit Poll ชี้พรรคอนุรักษ์นิยมคว้าชัยเลือกตั้งอังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ขณะที่เงินหยวนพุ่งแข็งค่าหลุดระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ แตะที่ 6.95 หยวนสูงสุดในรอบ 1 ปี ขานรับข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อนุมัติข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเฟสที่ 1

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

โดยเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นกว่า 2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงเช้าวันศุกร์ หลังจากที่ Exit Poll ระบุว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีคะแนนนำเหนือพรรคแรงงาน และมีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันพฤหัสฯ

ทั้งนี้ เงินปอนด์ดีดตัวขึ้นแตะที่ระดับ 1.35 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1.3451 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2% ก่อนที่จะมีการเปิดเผย Exit Poll

ขณะที่ Exit Poll ของ Ipsos Mori ทำร่วมกับสกายนิวส์ บีบีซี และไอทีวี ระบุว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้ 368 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมดในสภา 650 ที่นั่ง ส่วนพรรคแรงงานได้เพียง 191 ที่นั่ง เท่ากับเป็นการบ่งชี้ว่า พรรคอนุรักษ์นิยมของบอริส จอห์นสัน มีโอกาสได้ครองเสียงข้างมากในสภาอังกฤษ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการบ่งชี้ว่า ชาวอังกฤษต้องการให้ Brexit เกิดขึ้นโดยมีข้อตกลงที่แน่นอน เพราะหากผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการออกมาว่า พรรคอนุรักษ์นิยมได้รับชัยชนะ ย่อมหมายความว่าอังกฤษจะเดินหน้าแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) จากเส้นตายที่กำหนดไว้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2020

สำหรับกรณีเงินหยวนทะยานแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี พร้อมกับตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่มีรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้อนุมัติในหลักการแล้วเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีน

ค่าเงินหยวนในตลาดจีนพุ่งขึ้นมากถึง 1% สู่ระดับ 6.9570 หยวนต่อดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว และเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่อ่อนค่าจนเกือบแตะระดับ 7.2 หยวนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ทั้งนี้การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้อนุมัติข้อตกลงการค้าดังกล่าวจะทำให้จีนรอดพ้นจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนครั้งใหม่ที่สหรัฐกำหนดไว้ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ที่อัตรา 15% คิดเป็นมูลค่าสินค้า 165,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐอาจจะยอมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลงครึ่งจากมูลค่าที่เรียกเก็บอยู่ 360,000 ล้านดอลลาร์อีกด้วย

โดยแลกกับข้อตกลงที่จีนสัญญาจะซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐเป็นมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า2เท่าจากมูลค่าที่เคยซื้อสินค้าเกษตรจากจีนในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเกิดสงครามทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ

เพราะหลังจากเกิดข้อพิพาททางการค้าแล้ว จีนได้สั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐลดลงเหลือเพียง 8,600 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการตอบโต้ทางการค้าเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่ายอย่างรุนแรง โดยที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐได้ดำเนินมาถึง 1 ปี 7 เดือน

ขณะนี้จึงยังคงต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจการเงิน และการเมืองระหว่างประเทศ และปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อทิศทางดศรษฐกิจโลกปี 2020 ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้

ดูข่าวต้นฉบับ