ภาพประกอบ @mandy_mandarin
เชื่อไหมว่าคู่รักที่เห็นว่ารักหวานซึ้งจนน่าอิจฉา เค้าสองคนไม่ใช่ส่วนผสมที่ลงตัวกันมาตั้งแต่แรกหรอก กว่าจะรักกันมาจนถึงจุดที่เรียกว่าความสุข มันมีเบื้องหลังที่เรามองไม่เห็นอีกเยอะแยะ
‘ความต่าง’ ก็เป็นหนึ่งในนั้น และบางทีก็เป็นปัญหาค้าง ๆ คา ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแพ้บายให้กับความต่างไป ดังนั้นถ้าไม่รู้ว่าความต่างที่มีผลต่อความรักโดยตรงมีอะไรบ้าง เราก็จะไม่รู้ว่าจะรับมือกับความต่างนี้ยังไง อย่าลืมว่าเสน่ห์ของความรักมันอยู่ที่การค่อย ๆ เรียนรู้กันและกันไปเรื่อย ๆ รักใครก็ต้องรักอย่างที่เค้าเป็น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และความต่างไม่ใช่ความผิด แต่เป็นแค่การที่เราไม่เหมือนกัน
1. สถานภาพทางสังคม
ถึงแม้จะเป็นยุคสมัยแห่งความเท่าเทียม แต่การจะบอกว่าความต่างไม่กระทบความสัมพันธ์ก็คงเป็นเรื่องโกหก และความต่างสุดคลาสสิคที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับก็คือ ความต่างของสถานภาพทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นฐานะ อายุ การศึกษา พื้นฐานครอบครัว เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ต่อให้อยากเปลี่ยนแค่ไหนก็ตาม และความต่างเหล่านี้ก็ทำให้ความรักของหลายคู่ต้องพังมานักต่อนักแล้ว
เมื่อสถานทางสังคมต้องเผชิญหน้ากับความรัก สิ่งที่มักจะชนะก็คือ “สถานภาพทางสังคม” เสมอ
ไม่ใช่เพราะสถานะพวกนี้เข้มแข็งกว่า แต่เพราะความรักของเรามันอ่อนแอต่างหาก ถ้าเป็นแต่ก่อน “รักไม่มีพรมแดน” อาจฟังเป็นเรื่องโรแมนติค แต่เดี๋ยวนี้สถานภาพทางสังคมกลับเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ใครก็ข้ามไปไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ความรักของเราหนักแน่นพอ สถานภาพเหล่านี้ก็เป็นแค่ของชิ้นหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำอะไรความรักของเราไม่ได้ทั้งนั้น
2. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
บางคนมองว่าไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนไม่น่ามีผลกับความรัก แต่เชื่อไหมว่านี่คือปัญหาระดับชาติที่ทำให้หลายคู่เลิกรากันมานักต่อนักแล้ว
จริง ๆ แล้วไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมีผลกับความรักอย่างแยกไม่ออก เพราะถึงจะรักกันแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีอะไรที่ไปด้วยกันได้เลย ความรักอย่างเดียวก็คงไม่พอจะทำให้ใช้ชีวิตร่วมกันไปได้ตลอด
เมื่อถึงจุดหนึ่ง จุดที่เราเคยชินกับความรัก เราจะเข้าสู่โหมดอยากให้คนข้าง ๆ มาใช้เวลาร่วมกันบ่อย ๆ ซึ่งถ้าไลฟ์สไตล์คือความสุขในการใช้ชีวิตของคนหนึ่งกลายเป็นความหงุดหงิด อึดอัด จนเป็นทุกข์ของอีกคนตลอดเวลา ความต่างนี้ก็คงไม่อาจละเลยได้
>>10 ข้อคิดที่จะทำให้เข้าใจความรักมากขึ้น<<
3. ทัศนคติ
ทัศนคติเป็นเครื่องชี้ชะตาได้เลยว่ารักกันรอดหรือไม่ เพราะมุมมองความคิดต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีผลต่อภาพรวมในการใช้ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความรัก เพราะเมื่อเรามีทัศนคติต่อเรื่องความรักยังไง รักของเราก็จะเป็นแบบนั้น
ถ้าเราคิดว่าความรักคือทุกอย่าง รักแล้วต้องได้รักตอบ รักแล้วต้องอยู่ด้วยกันตลอด ตัวต้องติดกัน ต้องบอกทุกเรื่อง ห้ามทำนั่น ห้ามทำนี่ ในขณะที่อีกคนคิดว่ารักคือความสบายใจ ไม่กดดัน ไม่คาดหวัง ให้พื้นที่กันและกันได้เป็นของตัวเอง ซึ่งนี่แหละคือทัศนคติที่ต่างของการมีความรัก
ดังนั้น ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่าทัศนคติที่แตกต่างมีผลต่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแน่นอน เพราะการที่คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอีกอย่างตลอดเวลา ยังไงสักวันก็ต้องมีปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปกันไม่ได้ ของแบบนี้เผลอ ๆ ต้องอาศัยความเข้าใจให้มากกว่าความรักเสียอีก
4. ความชอบ ความสนใจ
เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความชอบหรือความสนใจที่แตกต่างกัน คนรักกันไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือน ๆ กันก็จริง แต่ความชอบที่ต่างกันนี่แหละ บางทีก็ทำให้เกิดปัญหาได้
ความชอบเป็นรสนิยมส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และบางทีก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงชอบหรือไม่ชอบ ดังนั้นนี่คือเรื่องเดียวที่ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แค่จำให้ได้ก็พอ เพราะความต่างนี้มีผลต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับความรักของเราน้อยที่สุด
>>8 อุปสรรคที่คนมีความรัก ต้องผ่านไปให้ได้<<
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งก็คือเราทุกคนไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย พอเริ่มรักกัน แรก ๆ อาจะดูเหมือนไม่มีความต่าง เพราะสิ่งที่ต่างถูกบดบังด้วยความรักและความโหยหา แต่จริง ๆ แล้วความต่างไม่ได้หายไปไหน พอช่วงเวลาแห่งรักผ่านไป ความต่างที่มีผลกับความรักโดยตรงเหล่านี้ก็จะปรากฎตัวขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
4 วิธีนี้คือการแก้ปัญหาเพื่อทำให้แน่ใจว่าความต่างไม่ได้ถูกปิดบังไว้ แต่ถูกทำให้หายไปด้วยพลังแห่งรักและความเข้าใจของคนสองคน เพราะถ้ามันยังต่างกันอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป อุปสรรคและปัญหาก็จะกลายเป็นปุ๋ยที่ค่อย ๆ เร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้แห่งความต่างให้พัฒนาขึ้น กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ไม่มั่นคง และพร้อมจะพังลงได้ทุกเมื่อ
1. ยอมรับแบบไม่จำเป็นต้องฝืน
ต้องเข้าใจก่อนว่าคนเราเกิดมาต่างกัน คนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง แต่ในเมื่อรักกันแล้ว ก็ต้องรักกันให้มากพอที่จะยอมรับและเรียนรู้ในความแตกต่างซึ่งกันและกัน ยอมรับในความแตกต่างที่เป็นตัวของตัวเองของอีกคน เพื่อไม่ให้ความรักต้องพังเพราะความต่างนี้ แต่อย่าลืมว่าการยอมรับจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าใจเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจก็คือยังไม่สามารถยอมรับได้อย่างเต็มใจ
ยอมรับยังไงให้ไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนตัวเอง ? คือต้องยอมรับอย่างเข้าใจ เปิดใจคุยกันเลยว่าความแตกของเราทั้งสองคนนั้นคืออะไร และอะไรคือปัญหาระหว่างกัน ที่สำคัญคือต้องเปิดใจและทำความเข้าใจกันให้ดี เพราะความต่างคือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ทำได้แค่เพียงยอมรับในความแตกต่างที่เกิดขึ้นเท่านั้น เมื่อยอมรับได้ ก็เดินหน้าต่อได้
2. หาจุดร่วมที่ลงตัว
ในความสัมพันธ์ฉันคนรัก เราไม่สามารถยอมรับความต่างได้ด้วยการแยกตัวออกมา หรือเธอจะทำอะไรก็เรื่องเธอ ฉันก็จะเป็นของฉันแบบนี้ ดังนั้นการหาความลงตัวในความต่างจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคนสองคนเอาไว้ แต่วิธีนี้ทั้งสองคนต้องทำความเข้าใจกันให้หนัก จับมือกันให้แน่น เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาหรือทะเลาะกันมีสูงมาก
วิธีก็คือพูดกันตรง ๆ ว่าจุดไหนที่เราจะยอมได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหรือหงุดหงิดใจ โดยเฉพาะไลฟ์ การใช้ชีวิต ความชอบ ทัศนคติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหาจุดลงตัวให้ได้ เพราะเรื่องพวกนี้แค่ยอมรับและเข้าใจไม่สามารถทำให้ความต่างหมดไปได้ แต่ต้องหาจุดร่วมที่ลงตัวถึงจะใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา
ข้อสำคัญก็คือ เมื่อหาจุดร่วมระหว่างกันได้แล้ว ต่างคนต่างก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่วางไว้ ให้อีกฝ่ายได้เป็นตัวของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นความต่างที่ทำให้เรารู้สึกแปลก ๆ ก็ตาม
>>9 เรื่องจริงของความรัก ที่คนมีรัก..บางทีก็ไม่เข้าใจ<<
3. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
กฎข้อหนึ่งของความรักก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ในทีนี้ก็คือการให้เกียรติในความต่างของอีกฝ่าย เพราะถ้าตัดเรื่องความต่างของสถานภาพทางสังคมออกไป ความแตกต่างอื่น ๆ ก็เป็นแค่เรื่องที่เราไม่ชอบมันเท่านั้น ดังนั้นความชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องที่คนรักกันก็ต้องให้เกียรติกันด้วย
การให้เกียรติในความต่าง ก็คือการยอมรับในความชอบและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของอีกฝ่าย อย่าลืมว่าแม้จะรักกัน คนเราก็ไม่จำเป็นต้องชอบหรือไม่ชอบอะไรที่เหมือนกันทั้งหมด แต่เราต้องยอมรับในความแตกต่างนี้ให้ได้ คือไม่ต้องทำใจให้ชอบเหมือน ๆ กัน แต่ต้องทำใจยอมรับในความชอบของอีกฝ่ายให้ได้ ซึ่งก็คือการให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างหนึ่งนั่นเอง
4. อย่ารอที่จะพูดออกไป
ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้ความแตกต่างทั้งหมดหายไปก็คือการพูดมันออกมา เพราะถ้าต่างคนต่างเงียบ ก็ไม่มีทางที่จะหาจุดร่วม ยอมรับหรือทำความเข้าใจกับความแตกต่างได้แบบไม่ต้องฝืนได้เลย
การพูดก็คือการเปิดใจตีแผ่ปัญหาออกมาส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็คือการจัดการกับความต่างในแบบฉบับของแต่ละคู่ ดังนั้นถ้าเจอปัญหาก็ไม่ควรรีรอที่จะพูดออกมา เพราะแค่พูดก็เท่ากับการช่วยแก้ไขปัญหาไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ถึงตรงนี้ถ้าจะบอกว่าความต่างมีผลกับความรักโดยตรงก็คงไม่ผิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ความรักแตก ขอนึกไว้เสมอว่าความรักไม่ใช่การที่ใครคนหนึ่งยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ความรักคือการค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ ปรุงกันไปทีละนิด เพื่อให้คนสองคนกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของกันและกัน
11111953yY ความรักที่ลงตัว ก็เพราะมันไม่หลง ตัวเอง คือมันไม่เห็นแก่ตัว มันมีแต่เมตตา รักด้วยสติ คือรักด้วยสติ คือรักด้วยปัญญา มันรู้จักให้อภัย มันไม่มีการเพ่งโทษ จับผิด ที่เกิดขึ้น จากจิตที่เป็นอกุศล จิตที่เป็นบาปนั้นเอง มันจึงอยู่ด้วยกันได้ ด้วยบุญ คุณความดี โดยถ่ายเดียว
16 มี.ค. 2563 เวลา 01.05 น.
Yongyuth คนที่ศีลไม่เสมอกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ดังนั้นสังคม ที่ขาดศีล 5 จึงเป็นสังคมที่แตกแยก แต่หากคนในสังคม มีศีล 5 เสมอกันแล้ว สังคมนั้นก็เป็นสังคมที่ไม่มีปัญหา เพราะศีล เป็นเครื่องปิดกั้น ไม่ให้ทำบาป จึงไม่มีการเบียดเบียน ซึ่งกันและกันในสังคม ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง เพราะไม่มีการโกหก หลอกลวง ซึ่งกันและกัน เป็นสังคมแห่งการมีสติ มีปัญญา มีเมตตา กรุณา ทำให้โลกสว่างไสว ก็ด้วยศีล
17 มี.ค. 2563 เวลา 13.36 น.
'Suwipa คิดว่ามีชีวิตคู่ที่ดีมากๆอยู่แล้วแต่ก็ชอบอ่านบทความแบบนี้เพราะบางประเด็นหรือแค่บางถ้อยคำมีประโยชน์ในการนำไปใช้ให้ดียิ่งขึ้น
16 มี.ค. 2563 เวลา 15.03 น.
ในการที่เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างก็คงที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้เหมือนกัน.
16 มี.ค. 2563 เวลา 11.25 น.
ข้อเดียวเลยมนุษย์ทุกคนย่อมมีความต่างโดยเฉพาะสมองที่แตกต่าง แต่อย่างแตกแยก
มิฉะนั้นก็จบโอเคนะ
16 มี.ค. 2563 เวลา 05.27 น.
ดูทั้งหมด