“เด็กสมัยนี้ ทำไมคิด ทำไมทำแบบนี้กันนะ”
“คนสมัยก่อน นี่ความคิดล้าหลังชะมัด โลกเค้าไปถึงไหนกันแล้ว”
ความคิดของคนทั้งสองยุคที่ใช้คำพูดฟาดฟันกันมาตลอด ต่างคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง ต่างคนต่างก็เชื่อว่าความคิดตัวเองถูกต้อง เลยขยายช่วงความต่างระหว่างกันให้มากขึ้นทุกที
น่าจะจริงที่เด็กสมัยนี้กับคนสมัยก่อนโน้นเข้ากันได้ยากขึ้นทุกที ส่วนหนึ่งเพราะความคิดที่ต่างกัน ส่งผลให้ทั้งพฤติกรรมและคำพูดที่แสดงออกมา น่าหงุดหงิดใจสำหรับอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน ทำไมคนทั้งสองยุคที่อายุก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่กลับลงรอยกันทางความคิดได้ยากขึ้นทุกที เราจะหาคำตอบกัน…
คนสมัยก่อน..คือสมัยไหน ?
ผู้ใหญ่สมัยนี้หรือก็คือคนสมัยก่อนที่เด็ก ๆ เค้าเรียกกันนั่นแหละ โดยนิยามของ “คนสมัยก่อน” ก็คือคนที่โตมาในยุคที่เทคโนโลยียังไม่มีบทบาทมากมายขนาดนี้ เทียบง่าย ๆ ก็คือคนที่เพิ่งจะได้จับสมาร์ตโฟนก็ตอนที่อายุเลย 30 ไปแล้ว นั่นแหละ ! คุณคือคนสมัยก่อน
ลักษณะเฉพาะของคนสมัยก่อนก็คือคนที่คาบเกี่ยวระหว่างสองยุค ตามทันเทคโนโลยีแต่ก็มีโมเมนต์หมุนโทรศัพท์บ้าน เขียนจดหมาย ฟังเทปคาสเซ็ต ใช้เพจเจอร์ มีความคิดแบบคนหัวเก่าหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็พร้อมจะเปิดรับฟังสิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนพูด !
สิ่งที่ฝังอยู่ในหัวของคนสมัยก่อนก็คือความเชื่อ จะเป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมาหรือความเชื่อที่ตัวเองยึดถือก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรมาหักล้างได้ ต่อให้มีสักล้านเหตุผลมาขัดแย้ง ถ้าคนสมัยก่อนเชื่ออะไรแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง..
เด็กสมัยนี้..เป็นยังไง ?
เด็กสมัยนี้…เป็นคำเรียกเด็กยุคใหม่ของคนที่อายุมากกว่า มีบ้างที่เป็นคำเรียกในเชิงบวก แต่ส่วนใหญ่จะถูกพูดถึงในเชิงลบปนระอาในพฤติกรรมและความคิดเสียมากกว่า
คำว่า “เด็กสมัยนี้” ไม่ได้เป็นคำที่ใช้กันเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกก็นิยามคำว่า “เด็กสมัยนี้” กันอย่างกว้างขวาง โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Kids these days” ซึ่งแปลได้ตรงตัวเลยทีเดียว ดังนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพราะช่วงวัยและทัศนคติการใช้ชีวิตของคนแต่ละยุคก็น่าจะเป็นปัญหาของคนทั้งโลก ไม่ใช่แค่ในบ้านเราเท่านั้น
เด็กสมัยนี้ เป็นยังไง ? เอาจริง ๆ คนที่นิยามคำว่า “เด็กสมัยนี้” ก็คือคนสมัยก่อนหรือผู้ใหญ่สมัยนี้เองนั่นแหละ เบื้องต้นไม่มีระบุชัดเจนว่าเป็นคนยังไง อายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ หรือมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ก็คือการหยิบยกคำว่า “เด็กสมัยนี้” ขึ้นมา ก็มักต่อท้ายด้วยคำที่แสดงออกถึงพฤติกรรมต่าง ๆ เสียมากกว่า เช่น เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยอดทน เด็กสมัยนี้หาเงินเก่ง ฯลฯ
ดังนั้นนิยามคำว่า “เด็กสมัยนี้” ก็คือเด็กยุคใหม่ที่อายุยังไม่มาก เติบโตมาพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความหลากหลาย และการแสดงออกทางความคิด ทำให้มีระบบวิธีคิดที่แตกต่างออกไป คนสมัยก่อนอาจจะเชื่อในสิ่งที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษส่งต่อกันมา แต่เด็กสมัยนี้โดยมากจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง เชื่อในเหตุและผล อะไรที่ส่งต่อกันจากคนรุ่นก่อนก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป
สังเกตได้เลยว่าสิ่งที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวของคนสองยุคนี้ก็คือ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดกันง่าย ๆ ลองได้เชื่อมั่นแล้ว ยากที่จะยอมถอย และการยอมหักไม่ยอมงอนี่เอง เป็นที่มาของความต่างที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ !
เกิดกันคนละยุค อะไร ๆ มันก็เลยคนละแบบ
ถามว่าความต่างสร้างความแตกแยกหรือไม่ ?
ถ้ายอมรับกันตรง ๆ ความต่างสร้างความแตกแยกได้เสมอ คนที่ไม่คิด ไม่ทำ และไม่เหมือนเรา มักจะถูกหาว่าประหลาด ไม่เข้าพวกเสมอ นับประสาอะไรกับคนที่เกิดกันคนละยุค ยังไงก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว
แม้หลายคนจะเข้าใจว่าคนเราทุกคนมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องของวัยหรืออายุเท่านั้น แต่คนในวัยเดียวกัน อายุเท่ากันก็ยังต่างกัน ต่างทั้งเรื่องของความคิด ทัศนคติ และการใช้ชีวิต ซึ่งนี่ก็คือความหลากหลายในสังคม ดังนั้นไม่แปลกเลยที่คนสมัยก่อนกับเด็กสมัยนี้จะมีอะไร ๆ ที่แตกต่างกันบ้าง แล้วอะไรบ้างล่ะที่คนสองยุคนี้ต่างกันจนนำไปสู่ความแตกแยกได้
● ความคิด วิธีคิด เป็นสิ่งที่คนเราทุกคนย่อมต้องมีต่างกันอยู่แล้ว พี่น้องที่โตมาแบบเดียวกัน ถูกเลี้ยงมาเหมือนกัน ยังคิดต่างกันเลย นับประสาอะไรกับคนที่อยู่กันคนละช่วงวัย ก็ย่อมต้องมีระบบวิธีคิดที่แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าถึงแม้จะต่างกัน ก็ไม่มีใครควรไปตัดสินความคิดของอีกคน
เด็กสมัยนี้ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่าสิ่งที่คนสมัยก่อนเชื่อมาตลอดนั้นคือ ผิด !
ส่วนคนสมัยก่อนก็ไม่ควรไปดูแคลนความคิดของเด็กสมัยนี้
คนเรามีสิทธิ์คิดต่าง และเราทุกคนมีหน้าที่ที่จะยอมรับความต่างที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่หรือเกิดในสมัยไหนก็ตาม ความต่างไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงแต่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ และความต่างไม่ใช่เรื่องผิด
ทั้งเด็กสมัยนี้และคนสมัยก่อนมีสิทธิ์ทุกประการที่จะคิดและเชื่อมั่นในสิ่งที่คิดบนพื้นฐานของความถูกต้อง
● การใช้ชีวิต แน่นอนว่าคนสองยุคไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตเหมือนกันได้ คนสมัยก่อนอาจโตมาพร้อมกับความยากลำบาก ใช้เวลากับการรออะไรสักอย่างได้ดีกว่า ในขณะที่เด็กสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องรอและนั่นไม่ใช่ความผิดของพวกเค้า
อย่าลืมว่าด้วยยุคที่เปลี่ยนไป อะไร ๆ ก็ก้าวหน้าไปซะหมด จะให้ทุกคนใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในถ้ำแบบเดิมคงไม่ได้ โลกก้าวหน้า คนเราก็ต้องก้าวตาม การใช้ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่สังคมไทยเป็นแบบครอบครัวใหญ่ โตไปก็เป็นครอบครัวขยาย เดี๋ยวนี้การใช้ชีวิตเปลี่ยน เด็กสมัยนี้เค้าไม่ได้อยากอยู่เป็นครอบครัวขยายอีกต่อไป ซึ่งก็ไม่ผิด เค้าอยากไปมีชีวิตของเค้าเอง ในแบบที่เค้าเลือกเองก็ไม่ผิด
เมื่อบริบทของสังคมเปลี่ยน คนเราก็ต้องเปลี่ยนตาม คนสมัยก่อนที่มีความคิดแบบเก่าก่อนก็ไม่ใช่ว่าผิด แต่แค่ต้องไม่ไปตัดสินว่าคนที่ไม่คิดเหมือนตัวเองคือผิด คือไม่ถูกต้อง หรือเป็นพวกแปลกแยก การที่เด็กสมัยนี้หันหน้าหนีงานประจำหรืองานที่หาเช้ากินค่ำไม่ใช่ว่าเค้าไม่อดทน แต่เพราะเค้าเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบของเค้า สมัยนี้มีงานเป็นกระบุงที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ไม่ต้องนั่งหลังแข็งกับโต๊ะทำงาน และได้เงินที่ดีกว่าด้วย อย่าเอาความคิดแบบเดิม ๆ มาตัดสินวิถีชีวิตของใครอย่างเด็ดขาด
ส่วนเด็กสมัยนี้ก็ต้องเลิกรำคาญคนสมัยก่อนเสียที การที่ผู้ใหญ่มีความคิดแบบเดิม ๆ มีวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เค้าใช้ชีวิตอยู่แบบนี้มาตั้งนาน จะให้มาเปลี่ยนหรือมาเข้าใจการใช้ชีวิตของเด็กยุคนี้ก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกันบ้าง
● ประสบการณ์ เป็นสิ่งที่ต้องต่างกันอย่างแน่นอน แม้จะจริงที่คนสมัยก่อนอาบน้ำมาก่อน ใช้ชีวิตมามากกว่าก็ต้องมีประสบการณ์และได้รับบทเรียนมาเยอะกว่า แต่ใช่ว่าคนสมัยก่อนจะมีประสบการณ์มากกว่าเสมอไป ยังไงยุคนี้ก็ยุคของทางลัด ประสบการณ์และบทเรียนต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว การขวนขวายหาทางลัดที่มีประสิทธิภาพก็ทำให้มีประสบการณ์มากกว่าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กสมัยนี้เค้าถนัดนัก
เพราะฉะนั้นการไปบอกว่าเด็กสมัยนี้ไม่ทันคน ไม่รู้อะไร ถูกชักจูงได้ง่าย ก็เหมือนการไปดูถูกความคิดของพวกเค้าดี ๆ นี่เอง โดยเฉพาะการไปบอกว่า “ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน ต้องเชื่อฉันสิ !” เป็นเหมือนข้อความโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่มีใครเชื่ออีกต่อไป แม้จะเป็นคนในครอบครัวพูดก็ตาม
อย่าลืมสิว่าเราไม่ควรไปตัดสินคนอื่น ต่อให้เค้าต้องก้าวผิดเพราะขาดประสบการณ์ ถ้าเค้าไม่ได้ขอความช่วยเหลือ เราก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปสั่งสอนหรือด่าว่าแต่อย่างใด สิ่งที่ทำได้อยู่ห่าง ๆ อาจเป็นแค่การส่งความหวังดีและปล่อยให้เค้าได้เรียนรู้ความผิดพลาดด้วยตัวเอง นั่นแหละถึงจะเรียกว่าประสบการณ์ !
สุดท้ายโลกมันเปลี่ยนไปทุกวัน เราทุกคนมีหน้าที่ต้องเปลี่ยนไปตามโลก จะเด็กสมัยนี้หรือเด็กสมัยไหน ผู้ใหญ่สมัยนี้หรือสมัยไหน คนเราก็แตกต่างกันทั้งนั้น เด็กสมัยนี้ก็ต้องเป็นคนสมัยก่อนในสักวัน ส่วนคนสมัยก่อนในวันนี้ก็ต้องลาโลกนี้ไปในสักวันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลิกทิฐิแล้วยอมรับความต่างที่มันเกิดขึ้น สื่อสารและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ต่อให้อีกล้านความต่างก็มาบรรจบกันได้ ~
KinG🎷 มันเป็นข้ออ้างของนักการเมืองในการแบ่งแยก ต่อให้คนรุ่นใหม่หรือรุ่นไหนๆมันก็เห็นต่างและขัดแย้งกันได้ คิดให้ลึก นักการเมืองมันเสี้ยมให้แตก ตื่นกันได้แล้ว
27 ก.ย 2563 เวลา 19.05 น.
กุลชลี เจริญกุล🇹🇭 คิดต่าง ไม่เหมือน คือไม่ผิด
แต่ ผลของความคิด พฤติกรรมที่ตามมา การแสดงออก
จะตัดสินเองว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด คนส่วนมากยอมรับได้ไหม
27 ก.ย 2563 เวลา 22.08 น.
Papada Promrin ความคิดเก่า มันก็มีส่วนช่วยหล่อหลอมคนให้มีความเกรงกลัวต่อบาป แต่คนสมัยนี้แทบไม่รู้จักคำว่าบาป ด่าพ่อ ด่าแม่ ด่าครูบาอาจารย์ ก็รอดูความเจริญของพวกมัน จะเจริญถึงไหน ด่าครู หาเรื่องให้ครูโดนพ่อแม่ โดนสังคมด่า มันจะเอาความรู้จากไหน วันๆ คอยแต่อัดคลิปโดนครูทำโทษ โดนครูด่า แทนที่จะตั้งใจเรียน ขอให้มันเจริญเถอะ
27 ก.ย 2563 เวลา 19.47 น.
W... แน่ใจเหรอเด็กสมัยนี้หาเงินเก่ง คิดว่าเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ส่วนใหญ่เป็นเงินของคนสมัยก่อนให้มาซื้อใช้มากกว่า
27 ก.ย 2563 เวลา 19.08 น.
pongpipat เด็กรุ่นใหม่ ศรีธนญชัย ชอบโกหก แต่งเรื่อง ปลิ้นปล้อนตลบแตลง จะเอาอะไรต้องได้ตามใจ ไม่ได้ต้องทำลาย
27 ก.ย 2563 เวลา 23.15 น.
ดูทั้งหมด