หลายคนมองว่าการเขียนไดอารี่หรือการเขียนบันทึกประจำวันเป็นเรื่องของเด็ก โดยเฉพาะเด็กประถมที่เพิ่งอ่านออกเขียนได้ การจดบันทึกในแต่ละวันคงช่วยให้เด็ก ๆ อ่านเขียนได้คล่องและถูกต้องมากขึ้น ส่วนผู้ใหญ่อย่างเรา การงานก็เยอะ ความเครียดก็แยะ กว่าจะกลับถึงบ้าน แบตร่างกายก็อ่อนเต็มที ไม่มีเวลามาเขียนหรอก
แต่รู้ไหมว่าการเขียนไดอารี่ในทุก ๆ วันจะทำให้เราค้นพบสิ่งเล็ก ๆ ที่มีความหมาย สิ่งเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในตัวของเราเอง และสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้จะช่วยพัฒนาสมอง บำรุงหัวใจ และเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ทันรู้ตัว
Dear Diary, อยากความจำดี ให้ไดอารี่ช่วยพัฒนาสมอง
ใครที่คิดว่า การเขียนไดอารี่นั้นไร้สาระและเสียเวลาทำงาน คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะงานวิจัยของเจมส์ เพนนีเบคเกอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันรายงานว่า ถ้าเราเขียนระบายความรู้สึกเครียดออกไป จะทำให้ Working Memory ของเราทำงานได้ดีขึ้น
เจมส์ทดลองกับนักศึกษามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาสองกลุ่มที่กำลังเครียดกับการสอบ โดยกลุ่มแรกให้เขียนไดอารี่ทุกคืนก่อนนอน ส่วนกลุ่มที่สองให้เก็บความเครียดและความกดดันไว้ในใจ ทั้ง ๆ ที่กลุ่มสองมีเวลาอ่านหนังสือมากกว่าเพราะไม่ต้องแบ่งเวลามาเขียนบันทึกประจำวัน แต่ผลปรากฏว่า กลุ่มที่เขียนไดอารี่ได้คะแนนสอบดีกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
เนื่องจากตอนที่เด็ก ๆ เขียนบรรยายออกมา เรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ในหัวจะได้รับการจัดเรียงอย่างเป็นระบบ ทำให้สมองมีพื้นที่สำหรับจดจำและทำความเข้าใจตำราเรียนมากขึ้นนั่นเอง
ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงานในสายอาชีพอะไร ลองเขียนความรู้สึกลงในไดอารี่ดูนะ สิ่งที่เราคิดว่ามันยาก มันไร้ทางออก เราอาจจะหาทางออกเจอหลังจากที่ความคิดของเราได้จัดเรียงแล้วก็ได้
Dear Diary, สวัสดีคุณกำลังใจ หัวใจของฉันแข็งแรงขึ้นเยอะเลยระบายความเครียดกันไปแล้ว ก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งดี ๆ ในชีวิตกันบ้าง ไม่ว่าวันนั้นจะรู้สึกว่ามันเลวร้ายแค่ไหน เราอยากให้ทุกคนลองมองหาสิ่งดี ๆ ในความร้ายกาจนั้นดู เช่น
การเขียนบันทึกสิ่งดี ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนโลกสวย แต่เรากำลังจะเป็นคนที่มีความทุกข์ลดลงและมีความสุขได้ง่ายขึ้นต่างหาก การที่เราโฟกัสแต่สิ่งดี ๆ ก็แปลว่า เราให้คุณค่ากับเรื่องที่ดีต่อใจมากกว่าเรื่องที่บั่นทอนความสุข
“Count your blessings named them one by oneand it will surprise you what the lord has done.”- Count your blessings -
มีเพลงหนึ่งของศาสนาคริสต์ชื่อว่า Count your blessings มันเป็นบทเพลงที่สอนให้เราระลึกและรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งดี ๆ ในชีวิตอยู่เสมอ แล้ววันหนึ่งเราจะค้นพบว่า ชีวิตของเราช่างแสนโชคดี หรือหากเปรียบกับคำสอนไทย ๆ เราก็คงโตมากับสุภาษิตที่ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ค่อย ๆ สะสม แล้ววันหนึ่งเงินก้อนนี้จะกลายเป็นทุนชีวิตให้เรายามขัดสน
การเขียนไดอารี่แห่งความสุขก็เช่นกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็อย่าปล่อยมันหล่นหายไปตามทางนะ วันใดที่เรารู้สึกแย่ เมื่อเราเปิดกลับมาอ่านอีกครั้ง เราจะพบว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเราเยอะมาก และไดอารี่เล่มนี้มันจะกลายเป็นทุนชีวิต เป็นกำลังใจให้เราสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่อไปDear Diary, ขอบคุณไดอารี่ที่เปลี่ยนฉันให้เป็นคนที่ดีขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วชีวิตมันจะเปลี่ยนได้ยังไง เรามีเรื่องราวของนักอเมริกันฟุตบอลชื่อแมท เมเบอร์รี่ มาเล่าให้ฟัง
แมทเป็นดาวรุ่งในทีม Chicago bears และกำลังไปได้สวยในสายอาชีพ เขามีความสุขมากกับการได้ทำตามฝัน แต่แล้ววันหนึ่งแมทก็ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน ทำให้กระดูกหัวเข่าแตก และต้องออกจากทีม แมทไม่สามารถทำสิ่งที่เขารักได้อีกตลอดชีวิต
ในช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเศร้าและน่าผิดหวังที่สุดในชีวิต แมทตัดสินใจเริ่มบันทึกทุกอย่างลงในไดอารี่ แล้วภายในหนึ่งปี แมทพบว่าอะไรหลายอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากบันทึกเขาพบว่าสุขภาพของเขาดีขึ้นทุกวัน ๆ มันเป็นเหมือนพลังในการใช้ชีวิต โดยแมทบอกเคล็ดลับไว้ว่า เขามักปิดท้ายไดอารี่ด้วยความรู้สึกขอบคุณเสมอ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ และครอบครัว
ทุกวันนี้แมทกลายมาเป็น Keynote Speaker เป็น CEO บริษัทให้คำปรึกษา และเป็นคอลัมนิสต์ที่คนต้องการอ่านมากที่สุดของนิตยสาร Entrepreneur แมทประสบความสำเร็จในอีกเส้นทางที่ตัวเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
พอความเครียดได้บรรเทา ความคิดได้จัดเรียง ความหดหู่ที่เคยมี ก็หายเป็นปลิดทิ้ง การเขียนไดอารี่เปลี่ยนชีวิตของเราได้จริง ๆ2R: Remember Me and Reflect Meทำความรู้จักตัวเองวันละนิด ชีวิตเปลี่ยน
การเขียนไดอารี่นั้นไม่ยากเลย แต่ถ้าอยากเขียนให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เราก็มีวิธีการเขียนเพื่อพัฒนาตัวเองมาฝาก จำง่าย ๆ ว่า 2R
R แรก Remember Me จดจำตัวเรา บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความทรงจำ โดยเริ่มจากการระบายความเครียดหรือเรื่องที่เรารู้สึกไม่ค่อยดีก่อน และค่อยตบท้ายด้วยสิ่งดี ๆ ทั้งสิ่งที่ดี ๆ ที่เราได้รับ และสิ่งดี ๆ ที่เกิดจากตัวเราเอง
R ที่สอง Reflect Me เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ลองใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักนิด อ่านสิ่งที่เขียน สะท้อนเป็นความคิดออกมา แล้วเราจะรู้จักหรือค้นพบสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากตัวเราเอง
ถึงเวลาหาสมุดเปล่าสักเล่มแล้วแต่งแต้มสีสันลงไป ไม่ว่าจะสีอะไร มันจะกลายเป็นเรื่องราวที่เรารู้สึกขอบคุณมันในอนาคต หากใครที่ไม่เคยเขียนมาก่อนและไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรลงไปดี เราอยากให้ลองพยายามเขียนดูสัก 3 อาทิตย์ เพราะระยะเวลา 21 วันจะทำให้สิ่งที่เราทำอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ในตอนแรกกลายเป็นนิสัยที่สามารถทำได้อย่างสนิทใจ
การเขียนไดอารี่อาจไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตแบบทันตาเห็น แต่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเราทีนิด ให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน ดีกว่าวันนี้ มาเขียนไดอารี่กันนะ! Remember Me, Reflect Me, To Better Me
เพิ่มช่องทางการรับข่าวสารและข้อมูลดี ๆ ผ่าน Line Official AZAYfan ที่จะช่วยทำให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ได้ที่
สิมิลัน. จริงมากๆค่ะ ทุกวันนี้เขียนไดอารี่อยู่เสมอ และพอได้ย้อนกลับไปอ่านหน้าต้นๆมันจะเป็นความรู้สึกที่ว่า สุดท้ายเราก็ผ่านเรื่องแน่ๆพวกนั้นมาได้นี่หว่า
04 ธ.ค. 2561 เวลา 15.48 น.
Supanun เขียนไดอารี่มาเกือบสี่สิบปีแล้ว บันทึกเรื่องที่เกิดกับชีวิตแทบทุกวัน รู้สึกว่าเปนคนมองโลกแง่ดีและไม่ทุกข์ร้อนอนาทรใจมาก เข้าใจตัวเองมากขึ้นอย่างนักจิตวิทยาว่าไว้จริงๆ
04 ธ.ค. 2561 เวลา 15.05 น.
นงลักษณ์ ปิ๊ง
ตัวเองเขียนไดอารี่ประจำวันมาหลายปี
เวลาอ่านย้อนหลัง มีอะไรที่เตือนความทรงจำ
ทั้งดีและร้ายหลายอย่าง มาทบทวนดูทำให้
เข้าใจชีวิตของคนๆหนึ่งต้องผ่านทั้งเรื่องดี
และ เรื่องร้าย สุดท้ายเราก็ยึดเป็นบทเรียน
สอนใจว่าเราต้องผ่านมันมาได้อย่างมั่นคง
07 ธ.ค. 2561 เวลา 01.35 น.
》 Vv i |\|《 ¿ รับคนช่วยดูแลเพจ รายได้ 550 บาทต่อวัน
Part time สนใจกดที่Link ข้างล่าง
https://bit.ly/2OPrPby
04 ธ.ค. 2561 เวลา 22.00 น.
ดูทั้งหมด