โตเกียวมารีนฯรุกหนักประกันยูนิตลิงค์ ระดมเพิ่มจำนวน IC License ปีนี้เพิ่มจากปัจจุบันมี 400 คนเป็น 700 คน หลังปลื้มตัวแทนตีแตกจุดเด่นผลิตภัณฑ์”โตเกียว บียอนด์”มีเงื่อนไขสิทธิประโยชน์เหนือคู่แข่ง พร้อมคัมแบ็คกลับมาขายประกันสุขภาพเด็กแบบมี Deductible หลังชะลอรับไปเหตุขาดทุน หนุนเงื่อนไข”Copayment”ที่ภาคธุรกิจออก กำราบเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ต้นตอบริษัทประกันขาดทุนและต้องปรับเบี้ยสูง โอดรพ.เอกชนบางรายไม่มีมาตรฐาน พอเห็นลูกค้ามีประกัน ชาร์ทค่ารักษาแพงขึ้นกว่าคนปกติไม่มีประกัน
ดร.สมโพชน์ เกียรติไกรวัล ประธานที่ปรึกษาสำนักกรรมการผู้จัดการและสายงานตัวแทน บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมของปี 2568 ว่า บริษัท วางเป้าหมายเบี้ยรับรวมไว้ 10,380 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,735 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยต่ออายุ 8,645 ล้านบาท โดยจะผลักดันผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ที่ชื่อว่า “โตเกียว บียอนด์” เป็นโปรดักส์หัวหอกในการทำตลาดและเบี้ยประกันบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมทั้งกับการสร้างตัวแทนขายประกันชีวิตรายใหม่(รีครู๊ด)ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ปีนี้จำนวน 8,000 คน พร้อมๆกับการส่งเสริมให้ตัวแทนสอบผ่านหลักสูตรผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ( IC License) เพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยบริษัทวางเป้าหมายไว้จากปัจจุบันที่มีตัวแทน IC License อยู่ที่ประมาณ 400 คน ก็จะขยับให้เพิ่มเป็นมีจำนวน 700 คน
“ผมมั่นใจว่าช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้หรือปี 68 จะเป็นช่วงที่ทำให้สินค้าเรา”โตเกียวบียอนด์”เติบโตเพิ่มมากขึ้น เพราะตัวแทนของเราเริ่มตีแตก และเข้าใจผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดีขึ้นว่า แตกต่างและดีกว่าผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์คู่แข่งเราอย่างไร ยกตัวอย่างลูกค้าอายุเรากับคู่แข่งที่ไล่เลี่ยกันที่ทำประกันยูนิตลิงค์ บริษัทโตเกียวมารีนฯของเราคุ้มครองที่ทุนประกัน 135 ล้านบาท เบี้ยประกันของเราจะตก 1.5 ล้านบาท แต่ของคู่แข่งเราจะคิดเบี้ยฯอยู่ที่ 2 ล้าน คุ้มครองทุนฯ 50 ล้าน ในกธ.จะเขียนระบุไว้ชัดเจนว่ามีหักค่าใช้จ่าย ซึ่งหมายถึงเบี้ย 2 ล้านส่งมาถุกหักเป็นค่าใช้จ่าย 50เปอร์เซนต์ เบ็ดเสร็จเบี้ย 2 ล้านจะเหลือ9 แสนกว่าๆที่บริษัทหักไปแล้วเอาไปลงทุนได้ ตรงนี้หายไปเยอะทีเดียว ในขณะที่บริษัทโตเกียวมารีนฯเองเก็บเบี้ยฯเพียง 1.5 ล้าน ทุนคุ้มครองสูงถึง 135 ล้าน ไม่มีหักค่าใช้จ่าย จะเหลือ1.46 ล้านบาท ที่บริษัทเอาไปลงทุนให้ดอกผลงอกเงย แค่จุดเด่นตรงนี้ก็ตอบโจทย์ตัวแทนและลูกค้าเรามากทีเดียว ทำให้ผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์”โตเกียวมารีนฯ”ได้รับความสนเป็นอย่างมาก”ดร.สมโพชน์ กล่าว และว่า
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทได้เริ่มหันกลับมาขายประกันสุขภาพเด็กในลักษณะมีการกำหนด Deductible ให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบส่วนแรก ซึ่งบางบริษัทได้เริ่มกลับมาขายไปแล้ว โดยอนาคตแก้ปัญหาหรือควบคุมค่ารักษาพยาบาลรพ.เอกชนที่ยังเกินความจำเป็นไม่ได้ แนวโน้มทุกบริษัทคงจะขายกรมธรรม์ประกันสุขภาพแบบ Deductible ทั้งหมดอาจเป็นได้ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนมีส่วนรับผิดชอบส่วนแรกเวลาเข้ารักษารพ.เอกชนเหมือนหลายประเทศที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้คิดไตร่ตรองก่อนเสมอว่าจะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นๆ โดยกรมธรรม์ทำนองนี้จะคิดค่าเบี้ยประกันถูกลง ซึ่งตรงจุดนี้จะต่างจากลักษณะ Copayment บังคับใช้กับลูกค้าบางรายที่เคลมบ่อยหรือเข้าเกณฑ์ที่คปภ.กำหนดเท่านั้น ไม่ได้มีผลใช้กับทุกคน
ดร.สมโพชน์ เกียรติไกรวัล กล่าวถึงผลการดำเนินงานนับตั้งแต่ตัวเองได้เริ่มต้นเข้ามาทำงานกับบริษัทโตเกียวมารีนฯตั้งแต่ในปี 2553 จนถึงณ ปี 2567 ที่ผ่านมาคิดแล้วเป็นระยะเวลา 15 ปีด้วยกัน ในช่องทางขายผ่านตัวแทนด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวมสะสมของลูกค้าที่มีมากถึง 62,800 ล้านบาทด้วยกัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 70-80% ของเบี้ยฯทั้งบริษัท โดยหากคิดเป็นจำนวนกรมธรรม์แล้วจะตกอยู่ที่ 408,717 กรมธรรม์ ซึ่งในจำนวนนี้มีกรมธรรม์แบบประกันสุขภาพจำนวน 163,562 กรมธรรม์ เงินคืนตามสัญญาระหว่างปี 2,846 ล้านบาท เงินคืนตามกำหนดสัญญา 543 ล้านบาท โดยขายผ่านตัวแทนบริษัทมีการจ่ายเคลมค่ารักษาไปแล้ว(ไม่รวมชดเชยรายวันและสินไหมประกันกลุ่ม))เป็นจำนวนเงินสินไหม ทิ้งสิ้น8,958 ล้านบาท
หากดูตัวเลขอัพเดทถึงปี 2567 บริษัทมีอัตราคาร์เรโช(หรือในส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง)อยู่ที่ 440% โดยปี 2567 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 9,850 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยปีแรก 1,136 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยต่ออายุ 8,190 ล้านบาท โดยเป็นเบี้ยฯที่มาจากช่องทางตัวแทน 7,140 ล้าน บาท คิดเป็นสัดส่วน 90% ช่องทาง Alternative และประกันกลุ่ม 2,710 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% โดยบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีอยู่ที่ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีผลดำเนินงานขาดทุนอยู่ที่ 251 ล้านบาท จากสาเหตุการจ่ายเคลมประกันสุขภาพ สืบเนื่องมาจากการรับประกันเด็กที่มีการจ่ายสินไหม่ค่อนข้างสูง กระทั่งบริษัทได้ชะลอการรับประกันสุขภาพเด็กรายใหม่ลง แต่ยังดูแลลูกค้าที่ถือกรมธรรม์เดิมไว้อยู่แล้วต่อ
โดยในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายเคลมสินไหมจากพอร์ตประกันสุขภาพมูลค่ารวม 1,005 ล้านบาท จากจำนวนผู้เอาประกันเคลมทั้งสิ้น 28,118 ราย โดยเกือบ 50% หรือ 16,612 ราย เคลมสินไหมสุขภาพจำนวน 483 ล้านบาท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเคลมเจ็บป่วยเล็กๆน้อยทั่วไป (Simple diseases) อาทิ ติดเชื้อทางเดินหายใจ ,ไข้หวัดใหญ่, ท้องเสีย, เวียนศรีษะ,ภูมิแพ้อื่นๆซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและไม่มีความจำเป็นนอนรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน เป็นต้น
ดร.สมโพชน์ กล่าวว่า จากผลพวงบริษัทได้ชะลอการรับประกันเด็กลงภายหลังพบวาขาดทุน บริษัทจึงได้มุ่งขายประกันสะสมทรัพย์ ประกันตลอดชีพ จึงเป็นที่มาบริษัทได้ดีไซน์แบบประกันหรือผลิตภัณฑ์แบบประกันชีวิตควบการลงทุน(ยูนิตลิงค์)ที่เรียกว่า โตเกียว บียอนด์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าตลาดออกมา และประสบความสำเร็จงดงามเป็นที่นิยมขายของตัวแทนอย่างมากจนถึงเวลานี้
ทั้งนี้ตนเองเห็นด้วยกับกรณีภาคธุรกิจประกันและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ได้ใช้หลักเกณฑ์กำกับในลักษณะ Copayment ซึ่งจะเป็นธรรมกับผู้ประกอบการและลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เพราะปัญหาเคลมประกันสุขภาพถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดจากอัตราเคลมสินไหมประกันสุขภาพที่ทุกวันนี้สูงขึ้นมาก ซึ่งตนเองก็เข้าใจและเห็นใจลูกค้า แต่ก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าวันนี้ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนมีอัตราสูงขึ้นต่อเนื่อง และสูงเกินข้อเท็จจริง ตามที่เรามักได้ยินจากปากลูกค้ากันว่า หากลูกค้ารพ.ที่ซื้อประกันสุขภาพคุ้มครองไว้ ค่ารักษาก็จะถูกเรียกเก็บแพงขึ้น หรืออยู่ในอัตราที่สูงกว่าผู้ไม่มีประกันเสียอีก ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงแล้ว ค่ารักษาของผู้มีประกันควรจะต้องตรงไปตรงมา หรือถูกกว่าบุคคลทั่วๆไปผู้ไม่มีประกันเสียมากกว่า
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทางคปภ.)ก็ทราบดีว่า เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขโดยกำกับดุแลในการควบคุมค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนในจุดนี้ได้ ค่ารักษาแต่ละรพ.เอกชนจึงมีมาตรฐานไม่เท่ากัน ซึ่งตนเองอยากเรียกร้องให้โรงพยาบาลเอกชนทบทวนเรื่อนี้ โดยให้ความร่วมมือพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา และคิดค่ารักษาพยาบาลที่เป็นธรรมกับบริษัทประกันมากขึ้น โดยเฉพาะตนเองไม่เห็นด้วยเลยกับบางโรงพยาบาลเอกชนที่ไปให้เปอร์เซ็นต์กับตัวแทนบางกลุ่มที่นำลูกค้าเข้ามารักษา หรือมีการแจกให้ส่วนลดค่ายาค่าห้องแก่ตัวแทน MDRT ทั้งที่ตามหลักแล้ว ควรให้สิทธิพิเศษกับบริษัทประกันทุกแห่งเสมอภาคโดยตรงน่าจะดีเสียกว่า เพราะวันนี้บริษัทประกันต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเคลมค่ารักษาสุขภาพผู้เอาประกันสูง จนกระทั่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก