ดัชนี ดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวลงด้วย เนื่องจากมีแรงเทขายทำกำไรอย่างมากในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่หนุนตลาดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ ปิดที่ 42,992.21 จุด ลดลง 333.59 จุด หรือ -0.77%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,970.84 จุด ลดลง 66.75 จุด หรือ -1.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,722.03 จุด ลดลง 298.33 หรือ -1.49%
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงหลังบวกต่อเนื่อง 5 วัน และก่อนหน้านั้น ดัชนีดาวโจนส์ติดลบต่อเนื่อง 10 วัน ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2517
หุ้น 45 ตัวในดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ปิดลดลงจากแรงขายทำกำไร
การเทขายหุ้นในวันศุกร์ได้ขัดขวางการปรับขึ้นของตลาดตามปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ซานตาคลอส แรลลี (Santa Claus Rally) ซึ่งตลาดหุ้นมักจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนธันวาคมและ 2 วันแรกของเดือนมกราคม โดยข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac บ่งชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2512 ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.3% จากปรากฏการณ์ดังกล่าว
การซื้อขายในวันพฤหัสบดี (26 ธ.ค.) ได้บ่งชี้ถึงแรงขับเคลื่อนที่เริ่มชะลอตัว โดยทั้งดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดขยับลงเล็กน้อย หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันหลายวันก่อนหน้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มการเงิน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 507.18 จุด เพิ่มขึ้น 3.37 จุด หรือ +0.67%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,355.37 จุด เพิ่มขึ้น 72.68 จุด หรือ +1.00%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,984.32 จุด เพิ่มขึ้น 135.55 จุด หรือ +0.68% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,149.78 จุด เพิ่มขึ้น 12.79 จุด หรือ +0.16%
ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ และปรับตัวขึ้นประมาณ 1% ในรอบสัปดาห์นี้ที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำกว่าปกติ เนื่องจากหลายตลาดปิดทำการเทศกาลคริสต์มาส
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่การลดลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ถ่วงตลาด
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,149.78 จุด เพิ่มขึ้น 12.79 จุด หรือ +0.16% และปรับตัวขึ้น 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์
กลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 1.4% ขณะที่กลุ่มพลังงานบวก 0.7% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก
แต่หุ้นกลุ่มผู้ค้าปลีก ลดลง 1.5% ขณะที่กลุ่มโลหะมีค่าและกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรมลดลง 0.8% และ 0.5% ตามลำดับ เนื่องจากราคาทองคำลดลงและทองแดงทรงตัว
จุดสนใจของนักลงทุนในปีหน้าอยู่ที่การกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากยังคงไม่มีความแน่นอนว่าการขู่เก็บภาษีของทรัมป์ที่จะมีผลกระทบต่อสหราชอาณาจักรด้วยหรือไม่
แม้ว่าปีนี้มีปัญหาเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่ดัชนี FTSE 100 จะปรับตัวขึ้นเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) และปิดบวกในรอบสัปดาห์นี้ แม้ปริมาณการซื้อขายเบาบางในช่วงใกล้สิ้นปี โดยตลาดได้แรงหนุนจากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ระดับ 70.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 74.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นได้ลดความน่าสนใจของทองคำซึ่งไม่มีผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่การกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่นโยบายก่อเงินเฟ้อของเขาจะมีต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2568
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 22.00 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 2,631.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเยน หลังจากรายงานสรุปความเห็นจากการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนธ.ค.บ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายเริ่มมีความมั่นใจในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ BOJ ปรับลดการซื้อพันธบัตรรายเดือนลงด้วย
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.12% แตะที่ระดับ 107.997