สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กำลังกลายเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายหนักสุดจากวิกฤตต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในปี 2020 จากการระบาดของโควิด-19 มาจนถึงความวุ่นวายล่าสุดจากปมการเหยียดสีผิวที่ปะทุ จนเป็นการประท้วงใหญ่ทั่วประเทศ รวมถึงนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่สร้างความร้าวฉานกับ“จีน” ก็ยิ่งซ้ำเติมให้สหรัฐพบกับความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ สังคมมากยิ่งขึ้น
จากโควิดสู่เหยียดสีผิว
ขณะที่ “สหรัฐ” ครองแชมป์ประเทศที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ล่าสุดมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 1.8 ล้านคน และยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 1 แสนรายไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้หลายรัฐได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมไวรัส ทำให้ธุรกิจหลายแห่งของสหรัฐต้องหยุดชะงัก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
โดยปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วง 10 สัปดาห์ที่ผ่านมาสูงกว่า 40 ล้านคน โดยธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเลิกจ้างพนักงานมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของผู้ว่างงานทั้งหมด
ขณะที่ผลกระทบจากโควิด-19 ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สหรัฐยังไม่สามารถจัดการได้ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นชนวนประท้วงและจลาจลทั่วประเทศ รอยเตอร์สรายงานว่า กรณีการจับกุม “จอร์จ ฟลอยด์” ชายแอฟริกันอเมริกันผิวสีที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตรปลอม ซึ่งปรากฏคลิปวิดีโอเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ใช้เข่ากดไปที่ต้นคอของฟลอยด์จนเขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตำรวจผิวขาวกระทำการเกินกว่าเหตุ เนื่องจากทัศนคติเหยียดสีผิว ส่งผลให้มีผู้ไม่พอใจจำนวนมากออกมาชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมและเรียกร้องให้ยุติการเลือกปฏิบัติทางสีผิวด้วย โดยการประท้วงได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ส่งผลให้มีอย่างน้อย 25 เมืองของสหรัฐต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ระเบิดเวลา “ความเหลื่อมล้ำ”
ความไม่พอใจของกลุ่มผู้ชุมนุมในสหรัฐไม่เพียงต่อการใช้ความรุนแรง แต่รวมถึงทัศนคติการเหยียดสีผิวที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมอเมริกัน ซึ่งส่งผลให้ชาวแอฟริกันอเมริกันไม่ได้รับโอกาสในการเข้าถึงคุณภาพชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกับชาวผิวขาวมาโดยตลอด ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อชาวผิวสีด้วย
สาเหตุสำคัญมาจาก“ความเหลื่อมล้ำ” ในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข ทำให้ชาวผิวสีส่วนใหญ่มีปัญหาด้านสุขภาพ“เจอโรม อดัมส์” ผู้บัญชาการกรมแพทย์ทหารสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนมากเป็นชาวผิวสี เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่เดิม ทำให้ทรุดหนักเมื่อได้รับเชื้อไวรัส
แม้รายงานจะไม่ได้ระบุว่า ชาวผิวสีที่ถูกเลิกจ้างมีจำนวนเท่าใด แต่แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ เนื่องจากชาวผิวสีจำนวนมากอยู่ในกลุ่มแรงงานที่มีการเลิกจ้างสูง รวมถึง“จอร์จ ฟลอยด์” ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกเลิกจ้างด้วยเช่นกัน
เศรษฐกิจสหรัฐดิ่งเหว
บิสซิเนสอินไซเดอร์รายงานว่า “แมตทิว ลุซเซตที” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของ“ดอยช์แบงก์” คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ ในไตรมาส 2/2020 อาจดิ่งลงถึง 40%
โดยระบุว่า ไตรมาส 1/2020 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก แต่จีดีพีของสหรัฐก็หดตัวถึง 4.8% อย่างไรก็ตาม ดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐจะดีดตัวขึ้นในไตรมาสที่ 3/2020 ราว 15% และในไตรมาสที่ 4/2020 ราว 6.5% ซึ่งจะทำให้จีดีพีของสหรัฐตลอดทั้งปี 2020 หดตัวลงประมาณ 8%
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการคาดการณ์ก่อนที่จะเกิดเหตุการประท้วงรุนแรงจนกลายเป็นจลาจลไปทั่วสหรัฐ ในจังหวะที่หลายรัฐกำลังเตรียมที่จะคลายล็อกดาวน์ แต่ก็ยังไม่สามารถออกมาทำกิจกรรมได้เช่นเดิม ซึ่งก็จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น
“ทรัมป์” จะอยู่หรือไป
ท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้ ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังราดน้ำมันลงบนกองไฟ ด้วยการข่มขู่ผู้ชุมนุมผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจเริ่มยิงได้ทันที หากมีการปล้นสะดมเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้มีเสียงวิจารณ์จำนวนมาก รวมถึงทวิตเตอร์ที่ได้ปิดกั้นการเข้าถึงข้อความดังกล่าวของทรัมป์ในทันที
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐยังเปิดศึกรอบด้านโดยเฉพาะกับจีน ในการที่จีนเดินหน้าออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ เพื่อใช้ควบคุมการชุมนุมประท้วงใน“ฮ่องกง” ซึ่งสร้างความกังวลว่าจะกระทบสิทธิเสรีภาพ ส่งผลให้ทรัมป์ลงนามคำสั่งเริ่มกระบวนการถอดถอนสิทธิพิเศษทางการค้าที่ให้กับฮ่องกง ในวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้จะมีคำเตือนว่าจะเป็น “ดาบ 2 คม” สร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจของสหรัฐด้วย ซึ่งยิ่งทวีความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน นับจากการปะทุขึ้นของสงครามการค้าในปีที่ผ่านมา
“โดนัลด์ ทรัมป์” คงไม่คาดคิดมาก่อนว่า ในช่วงสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก จะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตหนักหนาสาหัสที่แก้ไม่ตก และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงโดยง่าย ขณะที่คะแนนนิยมที่ยังร่วงต่อไปเช่นนี้ก็เป็นไปได้ว่า เก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 อาจหลุดลอยไปจากมือทรัมป์ ในการเลือกตั้งปลายปีนี้
Surapun จากการสำรวจจัดอันดับของหลายสถาบันในสหรัฐ ทรัมป์ เป็น ปธน. ที่แย่ที่สุดในทำเนียบ ปธน. ทั้งหมดของประว้ติศาสตร์สหรัฐ คนในพรรคก็ออกมาสนับสนุนทรัมป์มาโดยตลอด บ่งบอกถึงความคร่ำเต่าล้านปี หัวโบราณ หยิ่งทนงตน เหยียดผู้อื่นของ พรรครีพับรีกันอย่างชัดเจน .. โลกปั่นป่วนทุกยุคที่พรรคนี้ได้เป็นผู้นำำ ไปย้อนหลังดูได้ครับ
04 มิ.ย. 2563 เวลา 10.52 น.
sakchai สูงสุดสู่สามัญ
เสรีภาพบั่นทอนเมกาชน
04 มิ.ย. 2563 เวลา 10.38 น.
Pilot guide ยังก็เบอร์1 อยู่ดี จะลองสักตั้งมั้ย ไอ้จีนก็ได้ รัสเซียก็ดี มึงอยากจบแบบบิน ลาเดน กับซัดดัม มั้ย?
04 มิ.ย. 2563 เวลา 10.38 น.
🐯MR.IT🌏patuu2624/62💎 เอาสมัย1ให้รอด ก่อนพูดถึงสมัย2 (ประชาธิปไตยเมกาที่บุดเชิดชู)
04 มิ.ย. 2563 เวลา 10.19 น.
Sathaporn(ตุ้ย) ไม่รอดหรอก ทรัมป์ ..
04 มิ.ย. 2563 เวลา 10.11 น.
ดูทั้งหมด