เคยทึกทักกันว่า ไวรัสโรค “ซาร์ส” ที่คนล้มป่วยกันทีแรกเพราะติดต่อมาจากสัตว์ และได้เกิดการระบาดใหญ่เมื่อ 17 ปีก่อน เป็นสัญญาณเตือนดังสนั่นซึ่งสมควรที่จะปลุกให้เกิดความตื่นตัวระมัดระวังเกี่ยวกับการบริโภคสัตว์ป่าในฐานะที่เป็นอาหาร แต่มาถึงเวลานี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การระบาดล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีนคือเครื่องบ่งบอกว่า พฤติกรรมเช่นนี้ยังคงดำรงอยู่อย่างกว้างขวาง และเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อสุขภาพของมนุษย์
โรคซาร์ส (SARS ย่อมาจาก Severe Acute Respiratory Syndrome โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง) นั้น ถูกสืบสาวได้ว่ามาจากค้างคาวและชะมด ขณะที่ไวรัสชนิดใหม่ซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบคนแล้วในจีนและมีผู้ติดเชื้อร่วมๆ 2,000 คนก็เช่นกัน เชื่อกันว่ามีต้นตอมาจากสัตว์ซึ่งถูกลักลอบนำมาทำเป็นอาหาร
ขณะนี้การศึกษายืนยันกันเป็นขั้นสุดท้ายยังไม่มีการประกาศออกมา แต่พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีนต่างเชื่อกันว่ามันมาจากสัตว์ป่าซึ่งลักลอบค้ากันอย่างผิดกฎหมายในตลาดแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ทางภาคกลางของจีน โดยที่ตลาดแห่งนั้นมีสัตว์ป่าให้เลือกกันมากมายขนาดนำไปตั้งเป็นสวนสัตว์ได้ ไม่ว่าจะเป็น ชะมด, หนู, งู, ซาลามันเดอร์ยักษ์, และกระทั่งลูกสุนัขป่าเป็นๆ
การค้า “เนื้อสัตว์ป่า” เช่นนี้ เมื่อบวกกับการที่มนุษย์ตามเมืองใหญ่มีการเข้าใกล้พวกสัตว์ป่าด้วยช่องทางอื่นๆ กันอย่างกว้างขวางขึ้นกว่าในอดีต กำลังนำเราให้สัมผัสกับเชื้อไวรัสสัตว์อย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา และสามารถทำให้เกิดโรคแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็วในโลกซึ่งมีการเชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิดทุกวันนี้ ปีเตอร์ ดาซัค (Peter Daszak) ประธานกลุ่มพันธมิตรอีโคเฮลธ์ (EcoHealth Alliance) กลุ่มเอ็นจีโอระดับโลกซึ่งมุ่งโฟกัสที่การป้องกันโรคติดต่อ กล่าวอธิบาย
ขณะที่ โครงการโกลบอล ไวรอม โปรเจคต์ (Global Virome Project) ความพยายามระดับทั่วโลกที่จะเพิ่มพูนความพรักพร้อมสำหรับรับมือโรคระบาดร้ายแรง ซึ่ง ดาซัค ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ ประมาณการกันเอาไว้ว่า มีไวรัสในสัตว์ป่าที่ยังไม่ถูกค้นพบอีก 1.7 ล้านชนิด โดยเกือบๆ ครึ่งหนึ่งของไวรัสเหล่านี้น่าจะสามารถสร้างอันตรายให้มนุษย์ได้
ดาซัคบอกว่า การวิจัยของโครงการบ่งชี้ให้เห็นว่า เราสามารถที่จะคาดได้เลยว่าจะมีจุลชีพก่อโรคที่มากับสัตว์ชนิดใหม่ๆ ติดต่อสู่มนุษย์ราวๆ 5 ชนิดในแต่ละปี
“ความเป็นธรรมดาสามัญแบบใหม่”
“ความเป็นธรรมดาสามัญแบบใหม่ (new nornal) ที่เราจะต้องเผชิญกันก็คือ โรคระบาดอย่างที่แพร่กระจายไปทั่วนั้น เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาบ่อยครั้งขึ้น” เขากล่าว
“เรากำลังมีการติดต่อสัมผัสกับพวกสัตว์ที่เป็นพาหะของไวรัสเหล่านี้กันมากขึ้น และมากขึ้น”
ไวรัสทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม และไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามท้องเรื่องของพวกนิยายวิทยาศาสตร์สยองขวัญ
แต่จากภาพรวมในระยะหลังๆ ของกรณีต่างๆ ที่ไวรัสซึ่งอยู่ในตัวสัตว์ “กระโดด” มาสู่มนุษย์ ย่อมทำให้เราต้องอึ้งและรู้สึกว่าต้องเคร่งเครียดจริงจัง
ตัวอย่างเช่น ซาร์ส ที่คร่าชีวิตผู้คนหลายร้อยในจีนและฮ่องกงเมื่อช่วงปี 2002-2003 หรือ อีโบลา ซึ่งอาละวาดหนักหลายระลอกในแอฟริกาก็สามารถสืบสาวไปถึงค้างค้าว ขณะที่เชื้อเอชไอวี มีต้นตอมาจากลิงใหญ่ในแอฟริกา
ทุกวันนี้ โรคติดต่อสู่มนุษย์ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่ๆ มากกว่า 60% ทีเดียว มาถึงพวกเราโดยผ่านสัตว์ เหล่านักวิทยาศาสตร์บอก
แม้กระทั่งเมนูอาหารแสนคุ้นเคยอย่างเช่น ไก่ และวัว ซึ่งจุลชีพก่อโรคในตัวพวกมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ปรับตัวได้เป็นส่วนใหญ่มาเป็นเวลาหลายพันหลายมื่นปีแล้ว บางครั้งบางคราวก็ยังทำให้เกิดโรคระบาดใหม่ๆ ในมนุษย์อย่างคาดไม่ถึง เป็นต้นว่า ไข้หวัดนก และโรควัวบ้า
“เพื่อเห็นแก่อนาคตของพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านี้ และเพื่อเห็นแก่สุขภาพของมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องลดการบริโภคสัตว์เหล่านี้ได้เสียที” ไดอานา เบลล์ นักชีววิทยาเชื้อโรคในสัตว์ป่าและการอนุรักษ์ แห่งมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย ในประเทศอังกฤษ บอก เธอเป็นผู้ที่ศึกษาทั้งเชื้อโรคซาร์ส, อีโบลา, และจุลชีพก่อโรคอย่างอื่นๆ
“แต่ 17 ปีผ่านไปแล้ว (หลังจากโรคซาร์ส) ดูเหมือนว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
การบริโภคเนื้อสัตว์ป่าในตัวของมันเองนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องมีอันตรายเสมอไป เพราะไวรัสเกือบทั้งหมดจะตายในทันทีที่สัตว์ที่มันอาศัยอยู่ถูกฆ่า
ทว่าจุลชีพก่อโรคก็สามารถกระโดดเข้าถึงตัวมนุษย์ได้ในช่วงเวลาตั้งแต่ระหว่างการกักขังสัตว์, การขนส่งสัตว์, หรือการฆ่าสัตว์นั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องสุขอนามัยเป็นไปอย่างย่ำแย่ หรือไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกัน
ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จีนออกคำสั่งในวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) ห้ามการค้าสัตว์ป่าเป็นการชั่วคราว จนกว่าโรคระบาดคราวนี้จะผ่อนคลายลง
แต่พวกนักอนุรักษ์ธรรมชาติพากันบอกว่า ในอดีตจีนได้เคยสัญญาที่จะปราบปรามเรื่องนี้ เสร็จแล้วก็ล้มเหลวไม่สามารถทำตามคำมั่นได้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว
พวกผู้รับผิดชอบของจีนมองว่าการแก้ไขปัญหานี้ส่วนหนึ่งควรใช้วิธีส่งเสริมอุตสาหกรรมทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ป่า
เรื่องนี้ครอบคลุมทั้งพวกสัตว์ชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างเช่นเสือ ซึ่งส่วนต่างๆ ของมันมีราคางามในจีนและชาติเอเชียอื่นๆ ในฐานะเป็น “ยาโป๊ว” เพิ่มพลังทางเพศ ตลอดจนใช้บำรุงร่างกายอย่างอื่นๆ
แต่ เบลล์ ติงว่า เรื่องนี้มาพร้อมกับด้านลบของมันเอง อย่างเช่น เป็นการเปิดช่องทางให้เกิดการนำเอาสัตว์ป่าที่จับได้มา “ฟอก” ให้กลายเป็นสัตว์จากฟาร์ม
เธอเสริมอีกว่า พวกผู้ค้าสัตว์ป่าเวลานี้ก็แสดงความหลักแหลมยิ่งกว่าเดิมมากอยู่แล้ว โดยพยายามหลีกเลี่ยงมาตรการตรวจตราเฝ้าระวังตลาด ด้วยการขายตรงให้แก่ภัตตาคารร้านอาหาร
“ยากที่จะหยุดยั้ง”
กลุ่มสิ่งแวดล้อมพูดกันว่า ความต้องการจากจีนซึ่งดูคึกคักขึ้นทุกที จากการที่พวกผู้บริโภคมีอำนาจซื้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คือแรงขับดันใหญ่ที่สุดของการค้าเนื้อสัตว์ป่าระดับโลกในทุกวันนี้
สัตว์หายากบางพันธุ์ได้รับการยกย่องให้ราคาสูงในจีน ในฐานะเป็นอาหารเลิศรส หรือให้ประโยชน์ทางสุขภาพมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แม้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อันชัดเจน
ตามประเพณีแล้ว พวกเจ้าภาพจะรู้สึกได้หน้าได้ตา ถ้าสามารถเสิร์ฟอาหารป่าที่หายากราคาแพงให้แก่แขกหรือพวกหุ้นส่วนทางธุรกิจได้
หยาง จ้านชิว (Yang Zhanqiu) นักชีววิทยาจุลชีพก่อโรค แห่งมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น กล่าวว่า ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในยุคสมัยใหม่ ยังได้รับการหนุนเนื่องจากความไม่ไว้วางใจในอุตสาหกรรมอาหารของจีน ซึ่งแปดเปื้อนด้วยเรื่องฉาวโฉ่ด้านความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่ามานานปี
“คนชอบคิดกันว่า สัตว์ป่ามาจากธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือปลอดภัย” หยาง บอก
“ทุกๆ คนต้องการกินสิ่งที่ดียิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีตลาดสำหรับการซื้อขายสัตว์ป่า”
ดาซัคก็กล่าวสำทับว่า เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะหยุดยั้งกิจกรรมซึ่งมีความหมายความสำคัญทางวัฒนธรรมมา 5,000 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจหลายครั้งในช่วงหลังๆ มานี้ บ่งบอกว่าคนรุ่นหนุ่มสาวของจีน – ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับข้อมูลข่าวสารจากการรณรงค์เรียกร้องสิทธิสัตว์ที่มีเซเลบฯยอดนิยมชาวจีนเข้าร่วมด้วย— มีความโน้มเอียงน้อยลงมากที่จะกินค้างคาว, หนู, หรือซาลามานเดอร์ เป็นอาหาร ดาซัคพูดต่อ
“ผมคิดว่าในอีก 50 ปี เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องในอดีตไป” เขากล่าว
“ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มีการติดต่อเชื่อมโยงกันขนาดนี้ในทุกวันนี้ ซึ่งโรคระบาดที่ติดต่อได้อย่างกว้างขวางอย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นนี้ สามารถที่จะกระจายไปตลอดทั่วโลกได้ภายในเวลาแค่ 3 อาทิตย์เท่านั้น”
(เก็บความจากเรื่อง China's animal trade to spawn more viral outbreaks: experts ของสำนักข่าวเอเอฟพี)
Season Change™ อย่าลืมว่า... เค้ากินแบบนี้มาเป็นพันๆปี กินก่อนเป็นประเทศจีน ยิ่งสมัยโบราณไม่มีหม้อต้มดีๆด้วยซ้ำ ผมมองว่าเป็นผลงานมนุษย์ หรือผลงานทางชีวะภาพ ทั่วโลกเค้ารู้กันหมดว่าจีนกินไม่เลือก ประชากรมหาศาล การบริการทางการแพทย์ยังไม่ดี หรือง่ายๆจีนมีจุดอ่อน จีนใช้เวลาหาทางรักษา3เดือน แต่ยุโรปมีข่าวว่ามียารักษาแล้ว เรื่องเจ็บป่ายขนาดนี้แพงแค่ไหนก็ต้องยอม โปรดใช้สติ หลายๆเรื่องอาจมีผู้อยู่เบื้องหลัง
27 ม.ค. 2563 เวลา 04.00 น.
พระเทศน์รูปหนึ่งจำชื่อท่านไม่ได้ ท่านเทศน์ไว้ว่า
ปากของมนุษย์ คือป่าช้าของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
26 ม.ค. 2563 เวลา 16.47 น.
พบธรรม หมี ลิ้นมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพอ ผู้ไม่มีประมาณในการบริโภค ย่อมกวาดไปถึงบนฟ้า ใต้มหาสมุทร กวาดถึงป่าดงดิบ ย่อมนำทุกข์มาสู่ตน
26 ม.ค. 2563 เวลา 16.34 น.
สมหมาย สายทอง พวกชอบกินแบบอุตหริจึงสร้างปัญหามากมายเวรแท้ๆ
26 ม.ค. 2563 เวลา 16.16 น.
ดูทั้งหมด