เสียงจาก ‘ไร่อ้อย’ อีกจำเลย ฝุ่น PM 2.5
ย้อนไปเมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ล่องใต้ไปประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2563
ระหว่างพบปะนักเรียนที่โรงเรียนนราธิวาส ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการเผาพืชอ้อยว่า
“อย่างเรื่องอ้อยก็ชอบไปซื้ออ้อยที่ถูกเผามาเพราะสะดวกที่จะเข้าโรงงานได้เร็ว อนาคตข้างหน้าคงทำไม่ได้ จะต้องมีการออกกฎหมาย ก็อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายกันหรือไม่”
คำพูดนี้ที่ตอกย้ำให้แต่ละจังหวัด ที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยต้องเข้มงวด เพื่อลดมลภาวะเรื่องอากาศที่ปกคลุมด้วยฝุ่นพิษ ที่ฟุ้งกระจายจากการเผาพืชไร่ นาข้าว และเผาป่าเพื่อหาของป่า มีโทษทั้งจำคุกและปรับ นับแสนบาท ความผิด คือโทษจำคุก 2-15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-150,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
ทางด้านผู้ประกอบการ อย่าง สิริวุทธิ์ เสียมภักดี รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (ทีเอสเอ็มซี) กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า แนวทางแก้ปัญหาไร่อ้อยอย่างยั่งยืนต้องบูรณาการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทั้งภาครัฐ โรงงานน้ำตาลและชาวไร่ ต้องวางแผนบริหารจัดการด้าน ซัพพลายเชนทั้งอุตสาหกรรม ตั้งแต่กระบวนการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูกอ้อย จูงใจชาวไร่รวมแปลงเล็กเป็นแปลงใหญ่เพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนและนำรถตัดอ้อยเข้าไปจัดเก็บผลผลิตได้
“โรงงานได้รณรงค์และสนับสนุนการตัดอ้อยสดอย่างต่อเนื่อง เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนสินเชื่อซื้อรถตัดอ้อยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่โรงงานและชาวไร่ เนื่องจากรถตัดอ้อยปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูงและไม่เพียงพอ การแก้ไขปัญหาเผาอ้อยเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เชื่อว่าชาวไร่ก็ไม่อยากเผา แต่ด้วยแรงงานตัดอ้อยขาดแคลน ต้นทุนสูง ขณะที่โรงงานได้ส่งรถตัดอ้อยเข้าช่วยชาวไร่ที่เป็นคู่สัญญาจัดเก็บผลผลิตอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้อ้อยสดเข้าหีบ ให้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยสูงกว่าอ้อยไฟไหม้ นอกจากนี้โรงงานบางแห่งยังรับซื้อใบอ้อยใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า แม้ต้นทุนผลิตไฟฟ้าจะสูงขึ้นก็ตาม” สิริวุทธิ์กล่าว
ขณะที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ว่าได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เร่งรัดโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ฤดูการผลิตปี 2562/2563 วงเงิน 6,500 ล้านบาท และส่งเสริมให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดวงเงิน 3,500 ล้านบาท เพื่อนำเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป
หาก ครม.อนุมัติเงินช่วยเหลือ 10,000 ล้านบาท จะทำให้ชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานได้รับราคาอ้อยมากกว่า 1,000 บาทต่อตันอ้อย เป็นค่าอ้อยมากกว่าอ้อยไฟไหม้ประมาณ 130 บาทต่อตันอ้อย เพื่อจูงใจให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดแทนการเผ้าอ้อยไฟไหม้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหามลพิษ ปัญหา PM 2.5 โดยปี 2563 มีเป้าหมายอ้อยสดเข้าหีบโรงงานน้ำตาล 50% ของผลผลิตรวมปีนี้
แต่เมื่อมองไปที่มุมคนงานไร่อ้อยบ้าง การตัดอ้อยสดจะยุ่งยาก เนื่องจากต้องตัดสางใบอ่อนออกก่อนถึงจะตัดลำตัวอ้อยได้ จึงต้องจุดไฟเผาอ้อยก่อนแล้วทำการตัดเพื่อความง่าย
อย่างที่บ้านหนองบัวโคก ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา แรงงานตัดอ้อยเผยว่า ค่าแรงตัดอ้อยสด นายจ้างจะจ่ายให้กองละ 20 บาท ถ้าเป็นอ้อยไฟไหม้จะตัดง่ายและเร็วกว่าจะได้ราคาน้อยกว่า 1 เท่า หรือแค่กองละ 10 บาท ก็ตาม แต่เมื่อคิดเฉลี่ยรายได้ในแต่ละวันแล้ว จะได้ค่าจะอยู่ระหว่าง 200-300 บาท ใกล้เคียงกัน
ความตื่นตัว ต่อมาตรการป้องกันควบคุมฝุ่นพิษนั้น วิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าฯนครราชสีมา ได้เดินหน้าควบคุมป้องกันมิให้เกษตรกรไร่อ้อยจุดไฟเผาครอบคลุมทั้ง 32 อำเภอ สั่งการให้ฝ่ายปกครองประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามเมื่อเกิดเหตุเผาไร่อ้อย ให้สันนิษฐานว่าเจ้าของไร่อ้อยเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรก
ส่วน ชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าฯ สิงห์บุรี กล่าวว่า จังหวัดได้ขอความร่วมมือ กำชับกำนันผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนไปแล้ว แต่ก็ยังมีการเผากันอยู่ จึงขอความร่วมมือหากพบเผาซังข้าว เผาไร่อ้อยที่ไหน ให้ถ่ายรูปส่งพิกัดมาให้ที่ผู้ว่าฯ เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป หากเอาผิดไม่ได้ก็จะประจานให้รู้ว่าใครที่ทำที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
ทางด้าน มนตรี คำพล นายกสมาคมชาวไร่อ้อย จังหวัดสระแก้ว แสดงความเห็นว่า ขณะนี้ชาวไร่นอกจากจะเผชิญภัยแล้ง ผลผลิตอ้อยลดลงแล้ว ในพื้นที่สระแก้วยังมีการเผาอ้อยก่อนตัดเพราะขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประเทศกัมพูชาเศรษฐกิจดีขึ้น แรงงานเหล่านี้จึงเดินทางเข้ามาน้อย
แต่ในภาพรวมปริมาณอ้อยสดในสระแก้วได้เพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วพอสมควร ปริมาณอ้อยไฟไหม้มี 50 % เท่านั้น และตามมติคณะรัฐมนตรี ที่กระทรวงนำเสนอให้ใช้เครื่องจักรตัดอ้อยนั้น ก็ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี เพราะชาวไร่อ้อยต้องปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะที่จะใช้เครื่องจักรได้
ปัญหาอีกอย่าง คือโรงงานไม่กล้าค้ำประกันในการซื้อเครื่องจักรให้ เพราะว่าหนี้สินชาวไร่และราคาอ้อยตกต่ำมา 3 ปีแล้ว มีหนี้สินผูกพันกับโรงงานน้ำตาลอยู่ โรงงานก็ไม่ค้ำประกันให้ก็เป็นสิ่งที่ยากลำบากกับชาวไร่อ้อย
บำเพ็ญ นะภา เกษตรกรชาวไร่อ้อยในพื้นที่ จ.สระแก้ว สะท้อนปัญหาด้วยว่า สาเหตุที่เผาอ้อยก่อนตัด ส่วนใหญ่มาจากการขาดแรงงาน แรงงานส่วนนี้มาจากกัมพูชา ตอนนี้รัฐบาลมีนโยบายห้ามเผา แต่แรงงานไม่ยอมตัด
เนื่องจากอ้อย ตอ 2 ตอ 3 หรือตอ 4 ต้นอ้อยจะไม่ตรง เหมือนอ้อยปีแรก ทำให้การสางใบลำบากและเสียเวลานาน เมื่อแรงงานไม่ยอมตัดก็จำเป็นต้องเผา ถ้าไปบังคับให้แรงงานตัดอ้อยสดก็จะหนีกลับหมด
จึงพยายามให้คนงานตัดสะดวกขึ้นโดยซื้อเครื่องสางใบแล้วให้แรงงานเข้าไปตัด ก็ตัดได้เยอะขึ้น แต่มีปัญหาว่า อ้อยที่อายุ 2-3 ปีแล้ว จะใช้เครื่องจักรตัดไม่ได้ เนื่องจากต้นล้มไปแล้ว ต้นอ้อยจะต้องตั้งยืนจึงจะใช้เครื่องจักรเข้าไปสางใบได้ แต่การสางใบก็เพิ่มต้นทุน
เพราะว่า ตัวเครื่องจักรและตัวรถด้วย ราคาประมาณ 3-4 แสนบาท และใช้เอ็นเป็นตัวปั่น วันหนึ่งก็ใช้หมด 1 กิโลกรัม ตก 500 บาท ยังไม่รวมค่าแรงคนขับยังไม่รวมค่าน้ำมัน ต้นทุนสูงขึ้น
และที่มีข่าวว่า ทางจังหวัดสระแก้ว มีมาตรการห้ามเผาอ้อย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1 แสนบาท ก็มองว่า เราตกเป็นจำเลยสังคม ตกเป็นคดีอาญาต่อแผ่นดิน เราก็คิดอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเกษตรกรอยู่ไม่ได้ ต้องเลิกอาชีพนี้พูดตามตรงเลยว่า ต้องยุติการปลูกอ้อยหันไปปลูกพืชอย่างอื่น เพราะเราไม่มีทางเลือก เดี๋ยวนี้โทษหนักกว่าลักทรัพย์ปล้นทรัพย์เสียอีก
ขณะที่จิรวุฒิ สิงห์โตทอง หรืออดีต ส.ส.เป้า นายกสมาคมกลุ่มอาชีพการเกษตรชลบุรี อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มีมุมมองว่า ชาวไร่อ้อยจะมีช่วงเก็บเกี่ยวในเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น
ในอดีตราคาดี แต่ปัจจุบันราคาอ้อยตกต่ำเหลือเพียงตันละ 750 บาท หากเป็นอ้อยเผาไฟจะถูกหักอีกตันละ 30 บาท เหลือตันละ 720 บาท ทั้งที่ต้นทุนเพาะปลูกตันละกว่า 1,000 บาท
เกษตรกรพยายามช่วยตัวเอง เมื่อไม่มีแรงงานตัดอ้อยก็ต้องใช้วิธีเผา เพื่อตัดอ้อยเข้าสู่โรงหีบ หาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อรัฐบาลใช้มาตรการดังกล่าว ไม่รู้ว่าชาวไร่อ้อยจะไปทำอะไรกินกัน
“หากราคาอ้อยยังตกต่ำและยังใช้มาตรการห้ามเผาอ้อยเพื่อตัดเข้าสู่โรงหีบ ต่อไปไม่มีใครปลูกอ้อย ชาวบ้านก็ต้องกินน้ำตาลแพงกัน รัฐบาลควรจะแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด โดยเฉพาะรถที่วิ่งกันทุกวันนี้ สร้างฝุ่นละอองขึ้นสู่อากาศจำนวนมาก แต่ไม่มีมาตรการชัดเจน รวมทั้งโรงงานที่สร้างฝุ่นละอองขึ้นในอากาศ แก้ไขปัญหาไม่ได้ก็หันมาเอาเรื่องกับชาวไร่อ้อย ทั้งที่มีห้วงเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นในการตัดอ้อยเข้าโรงหีบ และชาวไร่อ้อยประสบกับปัญหาภัยแล้ง ฝนฟ้าลงโทษไม่ตกต้องตามฤดูกาล หากรัฐบาลไม่อยากให้มีการเผาอ้อยเข้าสู่โรงหีบ ก็ควรสนับสนุนซื้อรถตัดอ้อยคันละประมาณ 12 ล้านบาท แจกจ่ายให้กับสมาคมเกี่ยวกับอ้อยทั่วประเทศเพื่อนำไปตัดอ้อย” จิรวุฒิกล่าว
เป็นอีกด้านของปัญหาฝุ่นละออง ที่การแก้ไขปัญหาไม่ง่าย โดยเฉพาะหากจะแก้ไขอย่างยั่งยืน ต้องมีความรอบด้าน และคำนึงถึงผลกระทบที่ทุกฝ่ายได้รับไปพร้อมกันด้วย
Sunny สรุปง่ายๆคือ จ้างคนเรื่องมาก วางเพลิงง่ายกว่า
รถตัดแพง แต่ไม่ลงขันกันซื้อ หวังของฟรีจากรัฐ
เลิกปลูกก็ดีเหมือนกันนะ ถ้ามันลำบากมากขนาดนั้น
28 ม.ค. 2563 เวลา 02.15 น.
👑 P o n z i o 👑 ผมอ่านละตลกมากคับ ต้นทุนปลูกอ้อยอยู่ที่ตันละ1000 ขายตันละ720 แล้วจะปลูกให้ขาดทุนทำไมคับ
28 ม.ค. 2563 เวลา 02.15 น.
วางโครงการผลาญงบประมาณกันเรียบร้อย เหลือตกมือคนใช้จริงสักกี่สิบล้านว่ะ ทำไมไม่มีกฏหมายออกมา ข้าราชการคอร์รัปชั่นคดโกง จับได้ โทษประหารชีวิตให้หมด จะได้เหลือแต่บุคคลที่เข้ามาตั้งใจทำงานจริงจัง เพื่อพัฒนาประเทศชาติจริงๆๆ
28 ม.ค. 2563 เวลา 02.09 น.
ห้องว่าง รัฐบาลนำร่องเลย...อย่าพูดอย่างเดียวนะ
28 ม.ค. 2563 เวลา 02.09 น.
หน้าตัดอ้อยทีโคตรเบื่อ ทั้งควันไฟ ทั้งฝุ่น ปลิวว่อนเข้ามาตกในบ้านผม ทุกๆเช้าตื่นมาเจอแต่เศษใบอ้อยที่เผาแล้วปลิวเข้าบ้าน แล้วชาวไร่อ้อยคนที่เผารับผิดชอบไรมั้ยทั้งๆที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนกัน ผมว่าคนที่เผาอ้อยเห็นแก่ตัวมาก ไม่สนใจว่าฝุ่น ควัน จะสร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครบ้าง รัฐควรออกกฎหมายควบคุมให้เด็ดขาด โรงงานก็ต้องช่วยแก้ปัญหาด้วย
28 ม.ค. 2563 เวลา 02.58 น.
ดูทั้งหมด