คดี “บอสกระทิงแดง”
พลิก
“อัยการ” แตกยับ
คำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้อง“บอส กระทิงแดง” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทของครอบครัวกระทิงแดง ที่ขับรถด้วยความเร็วสูงชนดาบตำรวจตายคาที่เมื่อปี 2555 โดยที่บอสกระทิงแดง หนีคดีไปต่างประเทศร่วม 8 ปี กลายเป็นเรื่องอัปยศอดสูของผู้คนในประเทศในกระบวนการยุติธรรม
คดีนี้กลายเป็นชนวนสำคัญไปสู่ข้อเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งทำการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นของพนักงานสอบสวน ทั้งตำรวจ และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เป็นต้นธารแห่งความยุติธรรม อย่างหนักหน่วงที่สุด
เพราะถ้ากระบวนการยุติธรรม มีเจ้าหน้าที่ของรัฐตัดตอน-อำพรางคดี ตัดสาระสำคัญทั้งพยานวัตถุ พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ออกไปตามอำนาจแห่ง “เงินตรา” เมื่อไหร่ คุกจะมีไว้ขังคนจนอย่างเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่างนี้ก็ได้หรอ คดี “บอส อยู่วิทยา” ตร.กลับลำความเร็วรถ
คดี“บอส อยู่วิทยา”พลิก“พฐ.”กลับลำความเร็วรถ177กม./ชม.
คดี "บอส อยู่วิทยา" พีระพันธุ์ ถามคุ้มไหม กระบวนการยุติธรรมพัง เพราะคน 2 คน
คดี“บอส อยู่วิทยา” ช่องโหว่ กระบวนการยุติธรรม
สังคมไม่ได้สนใจ “บอส กระทิงแดง” ว่า เป็นใคร แต่ผู้คนสนใจว่าทำไมคนรวยหนีคดีไป 8 ปี และใช้บารมีเงินตราไปทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้รักษากฎหมายต้องบิดคดีจนนำไปสู่คำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี คนปกติหาเช้ากินค่ำทำได้หรือไม่
ล่าสุดคดียุติธรรมอำพราง บอสกระทิงแดง ส่อแววพลิกเมื่อ “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) อดีตอัยการสูงสุด เมื่อปี 2556 ยันคำสั่งเสร็จเด็ดขาดสั่งไม่ฟ้อง “บอส กระทิงแดง” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ประธาน ก.อ.ให้เหตุผล 6 ข้อ ในหนังสือที่ทำถึงอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ว่า เพราะ ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร อดีตอัยการสูงสุด เคยสั่งยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว แต่กลับมีการรับเรื่องขอความเป็นธรรมอีก โดย ไม่ผ่าน อสส.พิจารณาแต่อย่างใด ผลที่ตามมาคือ คําสั่งตามฟ้องยังคงมีผลอยู่….
หนังสือดังกล่าว เป็นบันทึกข้อความถึง นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เรื่อง การแถลงข่าวผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทํางานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา สรุปความได้ว่า
ข้าพเจ้าได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีประเด็นอันควรพิจารณาเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและระเบียบสํานักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดําเนินคดีอาญาของพนักงาน อัยการ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอํานาจหน้าที่ในการสั่งสําานวนของพนักงานอัยการ กรณีมีค่าสั่งไม่ฟ้องและผลของการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องเพิ่มเติมอีก ดังนี้
1. กรณีพนักงานอัยการมีคําสั่งที่ไม่ฟ้อง และคําสั่งนั้นไม่ใช่คําสั่งของอัยการสูงสุด เมื่อผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติไม่แย้งคําสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง หากมีการแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ส่งสํานวนพร้อมกับความเห็นที่แย้งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด เมื่ออัยการสูงสุดชี้ขาดไม่ฟ้อง จึงเป็นคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง คําสั่งในขั้นตอนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ต้องเป็นคําสั่งโดยถูกต้องตามอํานาจหน้าที่ของผู้ดํารงตําแหน่งต่างๆ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบฯที่เกี่ยวข้องด้วยจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ในกรณีที่ เดิมพนักงานอัยการมีคําสั่งไม่ฟ้องไว้แล้ว แต่มีการกลับคำสั่งเป็นคำสั่งไม่ฟ้องตามระเบียบฯ ข้อ 6 กำหนดว่า “ในกรณีที่เห็นควรกลับความเห็นหรือกลับคําสั่งเดิม ให้เสนอตามลําดับชั้นจนถึงอธิบดีเพื่อพิจารณาสั่ง เว้นแต่ความเห็น หรือคำสั่งเดิมนั้น เป็นของอธิบดี ให้เสนออัยการสูงสุด หรือรองอัยการสูงสุดผู้ได้รับมอบหมายเพื่อพิจารณาสั่ง”
2. กรณีคดีมีการร้องขอความเป็นธรรมระเบียบฯ ข้อ 48 (การสั่งคดีกรณีร้องขอความเป็นธรรม) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสํานักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดําเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2554 กําหนดว่า คดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรมในกรณีที่จะมีคําสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกข้อหา หรือบางข้อหา ให้เสนอสํานวนพร้อมความเห็นตามลำดับชั้นถึงอธิบดี เพื่อพิจารณาสั่ง
กรณีที่มีคำสั่งฟ้อง ให้ดําเนินการให้ได้ตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาล และให้รีบทําบันทึกส่งคําร้องขอความเป็นธรรม สําเนาความเห็นและคำสั่ง พร้อมทั้งสําเนารายงานการสอบสวนเสนออธิบดีเพื่อทราบ
กรณีดังกล่าวในวรรคก่อน หากเป็นกรณีที่ต้องกลับความเห็น หรือกลับคําสั่งเดิม หรือต้องถอนฟ้อง ให้นำความในข้อ 6 วรรคท้าย หรือข้อ 128 มาใช้บังคับแล้วแต่กรณี
3. กรณีตามคดีนี้ ได้ความว่าในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งของ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหา การร้องขอความเป็นธรรมในชั้นหลังที่มีประเด็นพิจารณาถึงคําให้การรองศาสตราจารย์ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม และรายงานพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตํารวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้วยอัยการสูงสุด (ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ได้สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาที่ 1 แล้ว ดังนั้นต้องถือว่า คําสั่งฟ้องที่สั่งไว้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย….
4. หลังจากนั้น หากมีกรณีร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาสู่การพิจารณาของพนักงานอัยการอีก การที่พนักงานอัยการคนใด จะหยิบยกเพื่อพิจารณาให้ความเป็นธรรม โดยสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมและมีคําสั่งใดๆ ใหม่ ต้องมีคําสั่งจากอัยการสูงสุดก่อน จึงจะดําเนินการได้ เพราะอัยการสูงสุดได้วินิจฉัยไว้แล้วให้ยุติการพิจารณากรณีร้องขอความเป็นธรรม
หากพนักงานอัยการผู้ใด มีการหยิบยกการร้องขอความเป็นธรรมขึ้นพิจารณาอีก และมีคําสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม โดยมิได้ขอความเห็นชอบจากอัยการสูงสุดก่อน ไม่น่าจะกระทําได้ และจะมีผลการดําเนินการในขั้นตอนต่อๆ มาทั้งหลายไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบฯ ทําให้คําสั่งต่างๆ ที่มีตามมา รวมทั้งคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อาจมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายได้
5. กรณีที่รองอัยการสูงสุด หยิบยกการร้องขอความเป็นธรรมขึ้นพิจารณาอีกครั้ง ทั้งที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติไปแล้ว จึงมีนัยสําคัญที่ควรพิจารณาว่า เกิดผลตามที่กล่าวมาตามข้อ 4 หรือไม่ หากเป็นผล ต้องถือว่าคําสั่งไม่ฟ้องยังไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบฯ การส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปให้ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หรือผู้ช่วยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วไม่แย้งคําสั่ง ก็หาเป็นผลให้เกิดเป็นคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่
และคำสั่งฟ้องเดิมของอธิบดีอัยการ สํานักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ต้องถือว่า ยังมิได้ถูกกลับ และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอยู่
6. ในการพิจารณากรณีการร้องความเป็นธรรมครั้งหลังจากที่อัยการสูงสุดท่านเดิม (ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร) มีคําสั่งให้ยุติการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมก่อนหน้านั้นไปแล้ว
ดังนั้น พนักงานอัยการผู้มีอานาจพิจารณาดําเนินการสังคดีดังกล่าวได้อีก ก็แต่เฉพาะอัยการสูงสุดเท่านั้น รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายหรือปฏิบัติราชการแทน ไม่มีอํานาจสั่งคดีดังกล่าว หากอัยการสูงสุดไม่ได้มีคําสั่งใด คําสั่งฟ้องของอธิบดีอัยการ สํานักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ก็ยังคงใช้บังคับอยู่เช่นเดิม
แต่ถ้าอัยการสูงสุดสั่งให้พิจารณาคําร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่ง อัยการสูงสุดก็มีอํานาจสั่งยุติการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมหรือ สั่งสอบสวนเพิ่มเติม หรือกลับคําสั่งฟ้องตามความเห็นเดิม เป็นสั่งไม่ฟ้องก็ได้ ตามดุลพินิจที่เห็นว่า ถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับพยานหลักฐานในสํานวน
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจาณา อนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญและมีผลต่อความเชื่อถือศรัทธาที่ประชาชนมีต่อองค์กรอัยการ จึงใคร่ขอความเห็นของข้าพเจ้า ตามบันทึกนี้ เผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย
ตะแล่มๆๆ งานนี้สำนักงานอัยการสูงสุดแตกยับ
ไม่ใครก็ใครมีคุก และอาจต้องโทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 แน่ๆ
อย่าลืมว่า พี่ใหญ่-อรรถพล ใหญ่สว่าง นั้นเคยเป็นอดีตอัยการสูงสุด และเป็นประธาน ก.อ.ที่มาจากการเลือกตั้งของอัยการทั่วไปประเทศลงคะแนนเลือกเข้ามาด้วยคะแนนสูงสุด 1,810 คะแนน เป็น ประธาน ก.อ.คนแรกที่มาจากการเลือกตั้งแบบบุคคล
และหน้าที่ของกรรมการ ก.อ.รวม 13 คนนั้น มีหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอัยการ และการพิจารณาดำเนินการทางวินัยและการสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการอัยการที่กระทำผิดระเบียบ รวมทั้งการพิจารณาออกระเบียบบริหารงานบุคคลอัตรากำลังข้าราชการฝ่ายอัยการ
ถ้าประธาน ก.อ.มีความเห็นแบบนี้ อัยการสูงสุดจะทำประการใด….ระทึก!
kong ประเทศกูมีแบบนี้ด้วย?
กูอยากร้องให้
11 ส.ค. 2563 เวลา 03.52 น.
kong อัปยศ อดสู กับกระบวนการยุติธรรมของพวกช่วยไอ้บอส
หาทางช่วยมันทุกวิธีทาง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่มองว่า ไอ้บอส มันผิดแน่นอน
จนนำมาสู่วลีที่ว่า คุกมีไว้ขังคนจน?
อัปยส อดสูจริงๆๆๆ
11 ส.ค. 2563 เวลา 03.50 น.
Sanit อ่านไปด้วยน้ำตาไหลไปด้วย ทำไมแผ่นดินแม่แผ่นดินเกิด จึงมีเหตุการณ์อยุติธรรมจากบุคคลคนผู้มีหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งเหลือเกิน
10 ส.ค. 2563 เวลา 06.01 น.
ยืนยังเซ เงินเท่านั้นที่ยุติธรรม
10 ส.ค. 2563 เวลา 01.04 น.
เงินทองเข้าไปตรงนั้นวงแตกอุดมการณ์มาตรฐานจะไม่มีความถูกต้องเก็บไว้ในลิ้นชัก
10 ส.ค. 2563 เวลา 00.02 น.
ดูทั้งหมด