ช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และโลกออนไลน์เรื่องโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งทดลอง ย้ำนะครับว่าทดลองให้นักเรียนสามารถใส่ชุดไปรเวทมาโรงเรียนได้อาทิตย์ละหนึ่งวัน เพราะมีผลวิจัยจากต่างประเทศว่าการให้อิสระในการแต่งตัว จะทำให้เด็กลดแรงกดดันและกล้าแสดงออกมากขึ้น
แล้วก็เป็นเช่นเคย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวเน็ตที่เห็นต่างสองฝ่ายก็แสดงความเห็นกันยกใหญ่ เหมือนเรื่องดราม่าอื่นๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทุกวัน
ฝ่ายต่อต้านที่ไม่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่า จะทำให้เกิดความสิ้นเปลืองและความเหลื่อมล้ำเพราะเด็กเด็กจะแข่งกันแต่งตัว ลูกคนมีเงินก็จะใส่ของแพงมาอวดเพื่อน คนที่ฐานะไม่ดีก็จะถูกเพื่อนล้อเพราะใส่ชุดซ้ำ
มีความกังวลอีกว่าเมื่อเด็กไม่มีชุดยูนิฟอร์มแล้วออกไปนอกโรงเรียนก็ไม่รู้ว่าเป็นนักเรียน (อาจเป็นเพราะเด็กบางคนหน้าแก่ เกินวัย) เกรงว่าจะไปกินเหล้าสูบบุหรี่กันง่ายขึ้น
ส่วนมุมมองของฝ่ายสนับสนุนก็บอกว่าทำให้เด็กอยากมาโรงเรียนมากขึ้น ได้ฝึกคิดตัดสินใจอะไรเองตั้งแต่แต่งตัวออกจากบ้าน มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักอยู่กับความแตกต่างหลากหลาย ฝึกปรับตัวให้ชินกับความเหลื่อมล้ำแตกต่างทางฐานะที่เลิกเรียนออกมาก็ต้องเจออยู่ทุกวัน นอกรั้วโรงเรียน
ผู้ใหญ่บางคนถึงกับรับไม่ได้ในนโยบายนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะความเป็นห่วงที่มีมาก กลัวจะเกิดผลเสียต่างๆ นาๆ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ที่มีมานาน
ในต่างประเทศหลายหลายประเทศเป็นเรื่องปกติ ที่นักเรียนจะใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน แต่วัฒนธรรมและสภาพสังคมของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน อาจจะเอามาใช้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้ทั้งหมด แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ มันเป็นแค่การทดลอง อาจจะออกมาดีขึ้นหรือแย่ลง อันนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพื่อการตัดสินใจในอนาคต
“ลองดูก่อน”
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงการทดลองทำงานสี่วันต่ออาทิตย์ของบริษัทในประเทศอเมริกา
มีผู้บริหารที่อยากทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทให้มากขึ้นด้วยการให้มีวันหยุดมากขึ้น ฟังดูเป็นเรื่องสวนทางแบบน่าประหลาด
แต่ผู้บริหารมีความเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุขมากขึ้นน่าจะส่งผลให้ประสิทธิภาพงานดีขึ้นตาม
จึงทำการทดลองเป็นระยะเวลาสามเดือน โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าหลังจากสามเดือนแล้วประเมินประสิทธิภาพการทำงาน แล้วผลออกมาแย่ลง จะยกเลิกนโยบายนี้
ผลปรากฏว่าประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พนักงานมีสุขภาพจิตดีขึ้น หลายคนก็ยังทำงานอยู่ในวันหยุดอยู่บ้านแต่เพียงไม่ได้เข้ามาในออฟฟิศ
พนักงานมีสมาธิมากขึ้นในวันทำงาน บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟอีกเกือบ 20% พนักงานมีความสุขมากขึ้นมีเวลาไปทำธุระส่วนตัวมากขึ้นมีกำลังใจในการทำงาน
การเปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ที่มีมานานนั้นอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำใจแต่ถ้ามันเป็นเพียงแค่การทดลองแล้วรอดูผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ
เพราะจะเอาบทสรุปจากการทดลองในประเทศอื่นที่วัฒนธรรมแตกต่างกันมาเป็นบทสรุปของประเทศเราก็ อาจจะไม่เหมาะ เพราะบางอย่างของเดิมคนโบราณก็คิดมาดี เหมาะสมกับสไตล์ไทยไทยของเราอยู่แล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ที่ผ่านมา ทดลองอะไรใหม่ใหม่ ถ้ามันไม่ดีก็กลับไปทำแบบเดิมก็ได้ ชีวิตอาจจะมีความสุขมากขึ้นนะครับ
โอ๋น้อยA 789 สำหรับพี่ไทย เรื่องชุดคงยากครับ เพราะความเลื่อมล้ำทางสังคมบ้านเรามันชัดเจน เพราะมีคนที่รวยหลายๆคนรังเกลียดคนจน ดูถูกดูเเคลนเพราะคิดว่าเขาต้อยต่ำกว่า/ ส่วนเด็กๆคงทนเเรงเสียดทานไม่ไหว ทุกวันนี้มือถือหนึ่งเครื่องยังต้องบังคับให้ผู้ปกครองซื้อให้เลย
15 ม.ค. 2562 เวลา 10.27 น.
Prachak เราต้องทำใจให้เปิดกว้าง ยอมรับในการทดลอง ดูว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรเพราะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น "อย่าเพิ่ง ติเรือทั้งโกลน" (สำนวนไทย)
15 ม.ค. 2562 เวลา 11.24 น.
Nuang A. 895 เด็กรร.นี้ไม่น่ามีความเหลื่อมล้ำนะเพราะถ้าไม่รวยเข้ารร.รี้ไม่ได้...555
19 ม.ค. 2562 เวลา 02.11 น.
@... ผมคิดว่าบางครั้งในการเปลี่ยนแปลงกับในสิ่งที่เคยได้ปฏิบัติมานั้นก็อาจทำให้สุขภาพจิตของบุคคลากรนั้นสามารถดีขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามในทางด้านของบุคคลากรก็ควรที่จะดำรงค์ในมาตราฐานของตนเองที่เคยได้ปฏิบัติมาก็จะเป็นสิ่งที่น่าชืนชมมากนะครับ.
15 ม.ค. 2562 เวลา 12.00 น.
Sukhuma Phattarapana ไม่ลองก็ไม่รู้ก็ลองดูเผื่ออะไรจะดีขึ้น
07 พ.ค. 2562 เวลา 06.10 น.
ดูทั้งหมด