ทั่วไป

ดีเจเจ๊แหม่ม เผยเรื่องราวสุดเจ็บปวด รักกันมา 15 ปี ความตายมาพรากใน 7 วัน

ThaiNews - ไทยนิวส์ออนไลน์
อัพเดต 14 พ.ย. 2565 เวลา 03.41 น. • เผยแพร่ 14 พ.ย. 2565 เวลา 03.01 น.

"ดีเจเจ๊แหม่ม" เผยเรื่องราวความรักสุดเจ็บปวด รักกันมา 15 ปี ความตายมาพรากใน 7 วัน ขนาดบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันยังอยู่ไม่ได้

"ดีเจเจ๊แหม่ม" หรือ วินัย สุขแสวง ดีเจชื่อดัง ล่าสุด ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวของความรักสุดเจ็บปวดที่ รักกันมาถึง 15 ปี แต่ความตายมาพรากใน 7 วัน ขนาดบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันยังอยู่ไม่ได้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดีเจเจ๊แหม่ม เผยเรื่องราวสุดเจ็บปวด รักกันมา 15 ปี ความตายมาพรากใน 7 วัน

โดย ดีเจเจ๊แหม่ม ได้ออกมาเปิดใจผ่านรายการแฉช่วงหนึ่ง เผยว่า จุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรจริงๆ พอจากโลกไปแล้วไม่ได้อะไรไปด้วยจริงๆ เราต้องรักกันมากๆ กับคนที่เป็นครอบครัว เพื่อน ที่สำคัญเราอย่าไปสร้างศัตรู ซึ่งขณะยังเป็น ดีเจวินัย เจ้าตัวมีรักแรกกับ หนุ่มเภสัชฯ ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ช่วงเวลาอันแสนหวานทั้งคู่ซื้อบ้าน ซื้อรถด้วยกัน แต่อยู่ๆ วันหนึ่งแฟนหนุ่มกลับปวดท้อง เมื่อนำชิ้นเนื้อลำไส้อะไรไปตรวจก็ไม่เป็นอะไร เหมือนจะดี แต่แล้วอาการเดิมก็กลับมาอีก คราวนี้ทรุดหนักเลย กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดีเจเจ๊แหม่ม เผยเรื่องราวสุดเจ็บปวด รักกันมา 15 ปี ความตายมาพรากใน 7 วัน

"ยังไม่ทันให้คีโมเลย ขึงเลย นอนดิ้นจะตายแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผูกแบบนี้ เราตอนนั้นก็เจ็บปวดไปอีก 3 วันนอนดิ้นต้องผูก 7 วันไปเลย คีโมก็ให้ไม่ได้ เพราะร่างกายเขาอ่อนแอมาก"

ดีเจเจ๊แหม่ม ยังเผยอีกหลังจากที่แฟนหนุ่มเสียแล้ว เข้าบ้านไม่ได้ ฟรีซบ้านหลังนั้นไว้ 20 กว่าปี ไม่กลับไปเลย ปลวกขึ้นเต็มไปหมดเลย บ้านหลังนั้นก็ทิ้งไว้เลย เพิ่งจะขายไปไม่กี่ปี เคยจะกลับไปขนของ ไปถึงหน้าบ้าน ขนาดเวลาผ่านไป 10 - 15 ปีแล้ว เปิดกระจกมองไปที่หน้าบ้านน้ำตามันไหลพราก แต่หัวเราะตลกตัวเอง เป็นอะไรไหนบอกเข้มแข็งขึ้นแล้วไง ลึกๆ ความรู้สึกข้างในมันยังรู้สึกได้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง
ดีเจเจ๊แหม่ม เผยเรื่องราวสุดเจ็บปวด รักกันมา 15 ปี ความตายมาพรากใน 7 วัน

นอกจากนี้ ดีเจเจ๊แหม่ม ยังเล่าอีกว่า ก่อนจะถึงจุดเปลี่ยน จาก ดีเจวินัย สุขแสวง เป็นดีเจเจ๊แหม่ม ขอทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องไปถามใครว่าทำได้ไหม ทำสิ่งที่ไม่ไปทำร้ายใคร ศัลยกรรมทำหน้า ปลูกผม เกือบเฉาะแล้ว ลุกมาทำอะไรเยอะแยะไปหมด

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews

ดูข่าวต้นฉบับ