สุขภาพ

พนักงานที่องค์กรไม่อาจขาดได้ โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

กรุงเทพธุรกิจ
อัพเดต 08 มี.ค. เวลา 03.15 น. • เผยแพร่ 08 มี.ค. เวลา 10.15 น.

ในฐานะผู้บริหารฝ่ายการตลาดระดับกลางในเอเจนซีโฆษณาแห่งหนึ่ง กฤษณ์ทำงานหนักมาตลอด เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่ดูเหมือนความพยายามของเขาจะไม่เป็นที่สังเกตเห็น หัวหน้าแทบไม่เคยพูดถึงผลงานของเขา และโอกาสเลื่อนตำแหน่งก็เหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อม

คืนหนึ่ง หลังจากวันทำงานที่เหน็ดเหนื่อย กฤษณ์บังเอิญได้พูดคุยกับพี่คนหนึ่งในองค์กร “เธอทำงานเก่งนะกฤษณ์ แต่ถ้าอยากก้าวหน้า ต้องรู้จักเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง” พี่คนนั้นพูดพร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ หนังสือชื่อ “12 Habits of Valuable Employees” โดย เวิร์น ฮาร์นิช, เควิน เดาม์ และ แอนน์ แมรี่ ซิมิเนลลี

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เมื่อ Selfie ร้ายกว่าฉลาม และลุกลามสู่บริบทองค์กร โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข

แตกต่างอย่างเข้าใจ เมื่อใช้ Empathy ในการทำงาน โดย อนิรุทธ์ ตุลสุข

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“หนังสือเล่มนี้จะเปลี่ยนชีวิตเธอ” พี่เลี้ยงกล่าว “มันจะสอนให้เธอเป็นพนักงานที่องค์กรไม่อาจขาดได้

  • จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง :

กฤษณ์เริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนั้นในคืนนั้นเอง หน้าสองของหนังสือเปิดด้วยคำถามที่กระแทกใจเขา: “อะไรทำให้พนักงานบางคนได้รับความไว้วางใจและมีโอกาสเติบโตมากกว่าคนอื่น?” คำตอบอยู่ในสิ่งที่หนังสือเรียกว่า “12 นิสัยทรงคุณค่า” และนิสัยแรกที่กฤษณ์ได้เรียนรู้คือ

  • การพัฒนาภาวะผู้นำ :

หนังสืออธิบายว่า ภาวะผู้นำไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งงาน แต่เกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นและเป็นแบบอย่าง กฤษณ์เริ่มต้นก้าวเล็ก ๆ ด้วยการอ่านหนังสือใหม่ทุกเดือน เพื่อเสริมความรู้และมุมมอง เขายังเริ่มพูดคุยและให้คำแนะนำกับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง บางคนเรียกเขาว่า “พี่ชายที่แสนดี ประจำออฟฟิศ”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ไม่นานนัก หัวหน้าของเขาก็เริ่มสังเกตเห็น “เธอดูเปลี่ยนไปนะกฤษณ์” หัวหน้ากล่าว “ฉันเห็นว่าเธอช่วยเหลือทีมได้ดี และนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการ”

กฤษณ์เริ่มเข้าใจแล้วว่า การเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องของการสั่งการ แต่คือการสนับสนุนให้ทีมประสบความสำเร็จ

  • มองภาพใหญ่ที่ไม่เคยเห็น :

นิสัยต่อมาที่กฤษณ์ได้เรียนรู้คือ การสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ก่อนหน้านี้เขาทำงานตามที่ได้รับมอบหมายโดยไม่เคยคิดถึง “เป้าหมายใหญ่” ของบริษัท หนังสือสอนให้เขารู้จักตั้งคำถามถึงเป้าหมายสูงสุดขององค์กร ซึ่งเรียกว่า BHAG (Big Hairy Audacious Goal) หรือ “เป้าหมายท้าทายที่ยิ่งใหญ่”

ในการประชุมเชิงกลยุทธ์ครั้งหนึ่ง กฤษณ์ยกมือถามว่า “เป้าหมายใหญ่ระยะยาวของเราคืออะไร?” คำถามนี้ทำให้ทั้งห้องเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่หัวหน้าจะตอบด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยม”

หลังจากนั้น กฤษณ์เริ่มปรับงานของเขาให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ของบริษัท เขายังแนะนำให้ทีมตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักขององค์กร การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ช่วยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว

  • ใช้ค่านิยมเป็นเข็มทิศนำทาง :

หนังสือยังพูดถึงการรวมค่านิยมหลักขององค์กรเข้ากับการทำงาน บริษัทของกฤษณ์มีค่านิยม 3 ข้อ: ความคิดสร้างสรรค์, ความร่วมมือ และความซื่อสัตย์ กฤษณ์เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาปฏิบัติตามค่านิยมเหล่านี้จริงหรือไม่

ระหว่างโครงการสำคัญ กฤษณ์เห็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งล้มเหลวในการส่งงานตามกำหนดเดิม แทนที่จะตำหนิ กฤษณ์กลับเสนอความช่วยเหลือ “เรามาลองวิธีใหม่กันดูไหม?” เขากล่าว การกระทำเล็ก ๆ นี้ช่วยให้เพื่อนร่วมงานของเขากลับมาเข้าที่เข้าทาง และยังสร้างความไว้วางใจในทีมมากขึ้นด้วย

  • เปลี่ยนความขัดแย้งเป็นโอกาส :

หนึ่งในความท้าทายที่กฤษณ์ต้องเผชิญคือการจัดการความขัดแย้ง ทีมของเขามักถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า กฤษณ์ระลึกถึงคำแนะนำในหนังสือเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้ง ซึ่งเน้นการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น

“ลองฟังกันก่อนดีไหมครับ?” เขาเสนอในที่ประชุม “ผมว่าเรามาแชร์ไอเดียกันก่อน แล้วค่อยหาทางเลือกที่ดีที่สุด”

คำพูดของกฤษณ์เปลี่ยนการประชุมจากความตึงเครียดเป็นโอกาสในการร่วมมือ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น และทีมสามารถส่งมอบโครงการที่ได้รับคำชมจากลูกค้า

  • การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง :

เมื่อกฤษณ์เริ่มมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เขาเริ่มมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในองค์กร หนึ่งในไอเดียของเขาคือการใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน กฤษณ์รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจถูกต่อต้าน แต่เขาเตรียมตัวอย่างรอบคอบ

เขานำเสนอผลการทดลองเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของระบบนี้ ทั้งในแง่ของการลดเวลาและข้อผิดพลาด ทีมงานเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของเขา และการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้องค์กรทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • จากพนักงานธรรมดาสู่คนสำคัญ :

หนึ่งปีหลังจากกฤษณ์เริ่มต้นเดินทางตามคำแนะนำในหนังสือ เขากลายเป็นคนที่องค์กรไม่อาจขาดได้ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานมองว่าเขาเป็นผู้นำที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการแก้ปัญหา

กฤษณ์เรียนรู้ว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการสร้างคุณค่า การเชื่อมโยงเป้าหมายของตัวเองกับองค์กร และการสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม

เรื่องราวของกฤษณ์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพียงเริ่มต้นจากนิสัยหนึ่งข้อ ฝึกฝนทุกวัน และเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและองค์กรของคุณ

ดูข่าวต้นฉบับ