ความสุขอย่างหนึ่งของวัยเรียนที่ยังเป็นภาพจดจำชัดเจนในอยู่ความทรงจำของผมเสมอ คือการยกพวกไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ ยิ่งกลุ่มใหญ่ยิ่งสนุก ยิ่งเห็นความพินาศของอำนาจทำลายล้างของกระเพาะอาหารของเยาวชนวัยเจริญพันธุ์ยิ่งสนุกเข้าไปอีก
ตอนเรียนม.ปลาย ร้านเป้าหมายที่เราจะยกพลกันไปถล่มคือร้านไดโดมอน บรรพบุรุษแห่งวงการหมูกระทะและปิ้งย่าง สมัยนั้นราคาหัวหนึ่งไม่น่าเกิน 150 บาท แถมกินไม่จำกัดเวลาด้วย เข้าร้านหกโมงเย็น ออกจากร้านตอนห้างปิดสี่ทุ่นในสภาพงูเหลือมที่เพิ่งขย้อนลูกม้าเข้าไปทั้งตัว พร้อมจะนอนจำศีลไปสามเดือน
ทุกครั้งที่ไปไดโดมอนกับเพื่อน มันคือความประทับใจและสุดยอดของความสุขและสนุก เพราะมันอร่อย ถูก คุ้ม มันได้นั่งคุยกับเพื่อนในบรรยากาศที่ดี และมันได้ความสะใจจากความคุ้มค่าของเงินทุกบาทที่จ่ายไป วันไหนที่เรามีโอกาสเลี้ยงฉลอง หรือเลี้ยงวันเกิด เราจะนึกถึงไดโดมอนเสมอ และมันเป็นร้านที่ต้องไปกับเพื่อนเท่านั้น ไปกับครอบครัวก็ไม่ฟินเท่า
พอโตขึ้นมาหน่อย เริ่มทำงานเก็บตังค์ได้บ้าง เราก็อัพเกรดตัวเองไปกินบุฟเฟ่ต์นานาชาติตามโรงแรม หัวหนึ่งประมาณพันหนึ่งบวกลบเล็กน้อย ฟัวกราส์เอย สเต๊กเอย วากิวเอย ทุกครั้งที่ไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรม เรามักจะโอดโอยกับความอิ่มที่เกินพอดี อึดอัดตัวจะแตกในระดับที่เดินตัวตรงก็ไม่ได้ ปากก็บ่นว่านี่ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ไม่เอาอีกแล้ว
แต่ผ่านไปยังไม่พ้นเดือน เราก็โดนมนต์สะกดแห่งฟัวกราส์เรียกเรากลับไปอีกแล้ว เพราะความคุ้มค่า มันเอาชนะทุกอย่างได้จริงๆ มันชนะความพินาศทางการเงิน เพราะกินทีหนึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ มันชนะความพังของรอบเอว และเหนียงใต้คอที่พอกพูน และเราก็เสพติดความคุ้มค่านั้นมาตลอด
แต่อาการเสพติดที่ว่านั้น อยู่ดีๆมันก็หายไปครับ พอผมผ่านอายุสามสิบมา ความถี่ในการกินบุฟเฟ่ต์ของผมน้อยลงเรื่อยๆ จนทุกวันนี้น้อยจนปีหนึ่งแทบจะนับครั้งได้ ซึ่งผมพบว่า ที่ผมกินบุฟเฟ่ต์น้อยลงไม่ได้เป็นเพราะผมจะคุมอาหารลดความอ้วน หรืออยากจะประหยัดคุ้มค่าใช้จ่ายเลยครับ
แต่มันเป็นเพราะผมได้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า การมีความสุขกับการกินอาหาร มันมีส่วนประกอบหลายอย่างที่มากกว่าแค่ความคุ้มค่าหรือปริมาณที่เราได้กิน ซึ่งพอปรับความเข้าใจตรงนี้ได้ปั๊บ ทำให้พฤติกรรมการเลือกร้านอาหารของผมเปลี่ยนไปเยอะมาก
และทำให้ตัวเลือกที่เป็นบุฟเฟ่ต์แทบไม่เคยทะลุผ่านเข้ารอบมาเป็นตัวเลือกหลักๆของผมอีกเลย และดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่ได้เกิดขึ้นกับผมคนเดียวด้วย เพราะเดี๋ยวนี้การนัดกินข้าวกับเพื่อน ขนาดเพื่อนบางคนที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการเปิดตี้เอะอะก็ชวนไปกินบุฟเฟ่ต์ มาวันนี้ก็แฮปปี้กับการกินอะไรก็ได้เช่นกัน
ส่วนประกอบสำคัญของมื้อที่ดีของผมในปัจจุบัน คือ “ความพอดี” ผมนึกถึงครั้งหนึ่งที่ผมไปกินบุฟเฟ่ต์โรงแรม แล้วเราเลือกกินจากมูลค่าของอาหารเป็นหลัก เช่น เราจะพุ่งตัวไปที่มุมของแพงต่างๆ ทั้งฟัวกราส์ หอยนางรม ลอบสเตอร์ และสารพัดอาหารนำเข้า ส่วนพวกสลัดและอาหารบ้านเรือนที่สามารถหาได้จากที่อื่นเราแทบไม่ได้เดินเฉียดไปแม้แต่น้อย เพราะเรารู้ว่ามันคือวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้มั่นใจได้ว่ามื้อนี้คุ้มและไม่ขาดทุนแน่ๆ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วเราอาจจะไม่ได้อยากกินอาหารพวกนั้นเท่าไรเลย แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะกินบุฟเฟ่ต์หรืออะไรก็ตาม ผมบอกตัวเองว่า เราอยากกินอะไรเราก็กินสิ่งนั้น ไม่ต้องไปคิดว่ามันเป็นของแพงหรือถูก ไม่ต้องใส่ใจว่ามันเก็บไว้กินที่อื่นก็ได้ เพราะวันนี้ถ้าเราคิดว่าอะไรที่กินแล้วมีความสุข ก็กินสิ่งนั้น แค่นั้นก็พอแล้ว
ในแง่ของปริมาณก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าเราจะรู้สึกดีที่สุด เมื่อเราออกจากร้านอาหารด้วยความรู้สึกอิ่มกำลังดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป การที่เราได้สัมผัสความรู้สึกนี้ทำให้เรารู้สึกคุ้มค่าโดยที่ไม่ต้องตั้งเป้าให้ตัวเองต้องกินให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้อีกต่อไป
ถึงแม้ในใจเราจะรู้ว่า ก้ามปูอลาสก้านั้นถ้าต้องไปกินที่ร้านซูชิที่อื่น อันหนึ่งตั้งหลายร้อย ถึงวันนี้จะมีกองเป็นภูเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องย้ายภูเขาก้ามปูนั้นมาอยู่ในท้องเราให้หมด ความสุขของเราอาจจะมากที่สุดด้วยการกินแค่สองชิ้น ถึงมันจะไม่ได้คุ้มด้วยมูลค่า แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ต้องทนฝืนกินจนคุ้มก็ได้
ผมจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ผมนัดเพื่อนอดีตสายบุฟเฟ่ต์กินข้าว ผมถามมันว่า “กินร้านไหนดี เอาบุฟเฟ่ต์มั้ย” มันตอบกลับมาสั้นๆว่า “หึ ไม่อ่ะ ไม่เอาบุฟเฟ่ต์ ขอเป็นร้านนั่งกินแบบธรรมดานี่แหละ” ผมเลยถามต่อ “ทำไม กลัวอ้วนเหรอ”
มันตอบมาสั้นๆว่า “เปล่า จริงๆก็อยากแหละ แต่ไปกินบุฟเฟ่ต์แล้วมันไม่ได้คุยกัน เดี๋ยวคนนั้นก็เดินไปตักนู่น เดี๋ยวคนนี้ก็เดินไปหยิบนั่น ไม่ได้นั่งพร้อมหน้ากันซะที”
ผมยิ้ม เออ ก็จริงของมัน แล้วหลังจากนั้น เราก็ไม่เคยกินบุฟเฟ่ต์กันอีกเลย
ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจ.
10 เม.ย. 2562 เวลา 04.43 น.
M_JUM บทความดีๆ ขอบคุณมากค่ะ
09 เม.ย. 2562 เวลา 14.29 น.
ดูทั้งหมด