29 มี.ค.63- กลุ่มประชาชนในนามเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและเหมืองแร่ภาคใต้ เครือข่ายประชาชนปกป้องเขายะลา ออกแถลงการณ์ ประณามการข่มขู่ คุกคาม ประชาชนผู้ปกป้องโบราณสถานเขายะลา และการซ้ำเติมความทุกข์ร้อนอื่นใดกับประชาชนในสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยระบุว่า ในขณะที่สังคมกำลังวุ่นวายอยู่กับสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด กลับพบว่ามีคนบางกลุ่ม พยายามกระทำการทุกรูปแบบเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์เฉพาะตน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบอกเล่าพฤติการณ์อันผิดปกติของเรื่องเหล่านี้ให้คนส่วนใหญ่ไดรับรู้ ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยอยู่ได้ มิใช่เพียงการคุกคาม ทำลายแหล่งโบราณสถาน “เขายะลา หรือ เขายาลอ” อันเป็นที่รับรู้กันก่อนหน้านี้
จนทำให้สังคมไทยตื่นตัว ตระหนักถึงคุณค่าของแหล่งโบราณคดี โดยเฉพาะภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์อายุหลายพันปี ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าถูกทำลายไปแล้วจำนวนกี่ภาพ พร้อมกันนี้เราได้สูญเสียเขายะลา อันเป็นการสูญเสียพื้นที่ทางอารยธรรมของมนุษยชาติ ที่มีอยู่ในกลุ่มภูเขาตำบลยะลา และตำบลลิดล อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศที่มีอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
องคาพยพของกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้าไปตักตวงในพื้นที่สัมปทานแหล่งหินทั้งสองตำบลนี้ มีโครงข่ายกว้างขวาง และมีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเห็นได้ถึงการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจทางราชการ กับกลุ่มทุนในพื้นที่ ที่ได้สะท้อนให้เห็นภาพของขบวนการผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ในลักษณะ “สมรู้ร่วมคิด” ของฝ่ายต่างๆ นี่คือการกอบโกยผลประโยชน์ ที่เป็นการหากินบนความขัดแย้งและความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมาก หากแต่ยังสามารถใช้ความเจ็บปวดดังกล่าวตอกย้ำบาดแผลที่มีอยู่แล้วนั้นให้ร้าวลึกมากยิ่งขึ้นโดยไร้ความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น ความไม่ปกติของระบบผลประโยชน์เหนือภูเขายะลา หรือเขายาลอ ของกลุ่มคน องค์กร และหน่วยงานต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงการ “กดทับ” ผู้คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใด “ความไม่สงบ” จึงไม่สามารถดีขึ้นได้ในดินแดนแห่งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แถลงการณ์ระบุด้วยว่า การ “สมรู้ร่วมคิด” ของวงจรอำนาจเหล่านั้น ได้สร้างสภาวะ “สมประโยชน์” ที่จับต้องได้มากยิ่งขึ้น อันเป็นการสมรู้ร่วมคิดภายในองค์กร ระหว่างองค์กร และการผสานประโยชน์ข้ามโครงข่ายระหว่างขั้วที่ซับซ้อนมากว่าที่เราจะเข้าใจได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วนั่นคือการสูบกินเลือดเนื้อของ “ผู้เป็นเจ้าของถิ่น” อย่างไม่มีทางดิ้นรน ร้องขอความเมตตา หรือแม้แต่ขอความเป็นธรรมใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น “การข่มขู่” และ “การคุกคาม” ผู้ปกป้องเขายะลา ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์แห่งความยากลำบากของประเทศในขณะนี้นั้น ถือเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุดที่ไม่อาจจะยอมรับ และทนนิ่งเฉยอยู่ได้ เราจึงขอประณามกลุ่มคนที่ยังกล้าอาศัยสถานการณ์แห่งความเลวร้ายจากภัยพิบัติของไวรัสโควิดครั้งนี้ เพียงหวังที่จะเดินหน้าการสัมปทานเพื่อระเบิดเขายะลา หรือเขายาลอ ในพื้นที่จังหวัดยะลาเสียให้ได้ และในโอกาสเดียวกันนี้เราขอประณามกลุ่มองค์กร และหน่วยงานอื่นใดที่ยังดำเนินกิจกรรม โครงการ หรือนโยบายต่างๆ ที่กำลังจะสร้างผลกระทบ และความหายนะให้กับชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จังหวัดสงขลา สตูล หรือพื้นที่อื่นใดของประเทศนี้ ทั้งนี้หากยังไม่สนในต่อข้อเรียกร้องเหล่านี้เราขอให้เขาเหล่านั้นจักต้องได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ได้กระทำนั้นในเร็ววัน.
taM_tHaNakit อยากติดตามข่าวนี้ ช่วยตีแผ่หน่อยครับ..
30 มี.ค. 2563 เวลา 03.44 น.
วารินนธี มันเป็นเรื่องจริงทุกหนทุกแห่งทีข้ารชการกับนายทุนสมคบคิดกันโกงกัน..รัฐบาลมั่วแต่พะวงการเมืองจึงมีโจรในคราบข้ารชการนักการเมือง..เราต้องเป็นโจรเองเกลืแจิ้มเกลือทำลายให้หมด..ไม่มีต้นไม่ป่าไม้ทุกคนก้อตายด้วยกัน
29 มี.ค. 2563 เวลา 12.11 น.
pongsai klommit พวกนายทุนผลประโยชน์ไม่สนใจกาลเวลาจริงๆ ไม่ต่างกับพวกขายหน้ากากอนามัยส่งออกในเวลาที่คนไทยเดือดร้อน ไอ้เดนมนุษย์พวกนี้สมควรไร้รับการประนาม บาปหนาวันหนึ่งเวรกรรมต้องตามทัน
29 มี.ค. 2563 เวลา 11.29 น.
samnieng ดูคนถือป้ายก็รู้ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร
29 มี.ค. 2563 เวลา 11.26 น.
Panu รู้ๆกันอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ คนของรัฐนี้แหละ
ผลประโยชน์สำคัญกว่า จะกี่ชาติก็ไม่สงบ
เปิดปากบอกไปก็เท่านั้น นายกมีเหรอจะไม่รู้
ปกปิดกันหมดแหละ คนรับกรรมคือคนพื้นที่ตัวเล็กๆ
29 มี.ค. 2563 เวลา 11.26 น.
ดูทั้งหมด